อาหารเร่งความแก่ ไม่อยากแก่เร็วเลี่ยงซะ

 

แก่ก่อนวัย คงไม่มีใครอยากได้คำคำนี้ค่ะ  อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสุขภาพดีตามวัย หรืออ่อนกว่าไว  หันมาใส่ใจดูสุขภาพกันด้วยการรับประทานอาหารค่ะ   6  อย่างต่อไปนี้ เลี่ยงได้ควรเลี่ยงค่ะ

pic5152ac7fc6ad2

1.อาหารที่มีไขมันสูง  นอกจากจะทำให้น้ำหนักมาก รูปร่างอ้วนไม่สวยแล้ว ยังเร่งความแก่ได้อีกด้วย

Composition with bottles of assorted alcoholic products isolated on white

2.  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันตรายล้นหลามทีเดียวกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแย่แล้ว ยังทำให้ผิวหนังเหี่ยว แก่ไวขึ้นถึง 70%

Depositphotos_19385249_s

 3.  เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ถ้าไม่อยากแก่ไวก็ควรลดชา กาแฟให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนที่ผสมอยู่มีผลต่อผิวหนังของเรา อาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวไวได้

md
 4.  อาหารหมักดองและอาหารปนเปื้อนสารพิษ การรับประทานอาหารจำพวกนี้จะทำให้ร่างกายสะยมสารพิษเอาไว้ ถ้าไม่หมั่นดีท็อกซ์ร่างกายบ่อยๆก็เตรียมตัวแก่ไวได้เลยจ้า

cdeilntvw269
5. อาหารปิ้งย่างที่เกรียมไหม้ ไม่ใช่แค่จะทำให้เป็นมะเร็งอย่างเดียวนะ อาหารที่เกรียมไหม้ยังทำให้แก่ไวอีกด้วย

1299571258
6. อาหารทอดจากน้ำมันเก่า ตัวสะสมเชื้อก่อโรคมะเร็งและยังทำให้แก่ก่อนวัยอันควร

อาหารชนิดไหนที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เพื่อสุขภาพที่ดีและจะได้ไม่แก่กว่าวัยด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/04/6_7.html

สิงโต กับมด (lion and ant)

เรื่องแต่งเกี่ยวกับ สิงโต กับ มด เปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานอีกหลายประเภท และการทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นทีม มีกลไกชัดเจน ที่อาจไปสอดคล้องกับบริษัท หรือหน่วยงานใดก็ได้
* ของฝรั่งมี 1) สิงโต 2) มด 3) แมลงสาบ (หัวหน้า) 4) แมงมุม (เลขา) 5) แมลงวัน (ฝ่ายไอที) 6) จั๊กจั่น (หัวหน้าแผนก) 7) นกฮูก (ที่ปรึกษา)
* ของไทยมี 1) สิงโต 2) มด 3) แมลงสาบ (หัวหน้า) 4) ควาย (เลขา) 5) ตัวเห็บ (ฝ่ายไอที) 6) ตัวทาก (หัวหน้าแผนก) 7) ตัวเหี้ย (ที่ปรึกษา)

ปัญหาเรื่อง สิงโต กับมด เป็นเรื่องของ Leader ship ล้วน ๆ เลย
จะไปโทษปี่โทษกลองไม่ได้แน่ ๆ แต่ถ้าสิงโตมาอ่านก็คงบอกว่า
มด คือ ตัวปัญหา ตามคำแนะนำของ นกฮูก

เรื่องราวแนวนี้ .. ทำให้นึกถึงหนังสือ “โศกนาฏกรรมองค์กรหลงทิศ
เกี่ยวกับการบริหารจัดการของบริษัทน้ำพริก ที่เห็นภาพปัญหาได้ชัดมาก
ที่เขียนโดย สุธี ปิงสุทธิวงศ์ สุรีพันธุ์ เสนานุช และยิ่งศักดิ์ นันทิวรรณกุล
http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1490/

สิงโต กับมด
สิงโต กับมด

ชอบตรง ไอทีนี่หละ เค้ายกสัตว์มา 2 ชนิด
คือ ตัวเห็บ กับ แมลงวัน
555 หัวหน้าจะคิดว่าเรา
เป็น “ตัวเห็บ” หรือ “แมงวัน” นะ

Story ..
Every day, a small ant arrives at work very early and starts work immediately.
.
She produces a lot and she was happy.
.
The chief, a lion, was surprised to see that the ant was working without supervision.
.
He thought if the ant can produce so much without supervision, wouldn’t she produce even more if she had a supervisor!
.
So he recruited a cockroach who had extensive experience as supervisor and who was famous for writing excellent reports.
.
The cockroach’s first decision was to set up a clocking in attendance system.
.
He also needed a secretary to help him write and type his reports and …
.. he recruited a spider, who managed the archieves and monitored all phone calls.
.
The lion was delighted with the cockroach’s reports and asked him to produce graphs to decribe production rates and to analyse trends, so that he could use them for presentations at Board’s meetings.
.
So the cockroach had to buy a new computer and a laser printer and …
… recruited a fly to manage the IT department.
.
The ant, who had once been so productive and relaxed, hated this new plethora (มากมาย) of paperwork and meetings which used up most her time…!
.
The lion came to the conclusion that it was high time to nominate (ระบุชื่อ) a person in charge of the department where the ant worked.
.
The position was given to the cicada (จั๊กจั่น), whose first decision was to buy a carpet and an erogonomic (เหมาะกับการทำงาน) chair for his office.
.
The new person in charge, the cicada, also needed a computer and a personal assistant, who he brought from his previous department, to help him prepare a Work and Budget Control Strategic Optimisation Plan…
.
The Department where the ant works is now a sad place, where no body laughs anymore and everybody has bcome upset…
.
It was at that time that the cicada convinced (โน้มน้าว) the boss, the lion, of the absolute necessity to start a climatic study of the environment.
.
Having reviewed the charges for running the ant’s department, the lion found out that the production was much less than before.
.
So he recuited the owl, a prestigious (มีเกียรติ) and renowned (ชื่อเสียง) consultant to carry out an audit and suggest solutions.
.
The owl spent three months in the department and came up with a enormous report, in several volumnes, that concluded : “the department is overstaffed …”
.
Guess who the lion fires first?
.
The ant, of course, because she “showed lack of motivation and had a negative attitude”.
http://lib.edu.chula.ac.th/cuappl/libedu2007/lib_talk/aspboard_Question.asp?GID=150
13 มิถุนายน 2554

http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2009/08/B8181968/B8181968.html
9 สิงหาคม 2552

http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2011/06/B10686404/B10686404.html
14 มิถุนายน 2554

http://wijitrood.blogspot.com/2014/05/blog-post.html
พฤษภาคม 2557

http://btsstation.com/31510
5 พฤศจิกายน 2558

ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอร์รี่

images1

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารสูงเป็นอย่างมาก โดยคุณประโยชน์ที่เด่นชัดคือ ในน้ำมันรำข้าวและรำข้าวนั้นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดี อุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายได้แก่ เบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี วิตามินบี 1 ลูทีน แทนนิน สังกะสี โอเมก้า 3 ธาตุเหล็ก โพลีฟีนอล และเส้นใยอาหาร เป็นต้น ซึ่งสารอาหารเหล่านี้นั้นมีส่วนช่วยในการบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา บำรุงระบบประสาท และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง รวมถึงป้องกันโรคต่างๆมากมายได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคสมองเสื่อม และโรคโลหิตจาง เป็นต้น รวมทั้งมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ช่วยชะลอความแก่ ลดระดับไขมัน และคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นทั้งข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็นสมุนไพรไทยไปในตัวกันเลยทีเดียว

ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่รักสุขภาพ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้สูงวัย ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และโรคโลหิตจาง รวมถึงสตรีมีครรภ์ เพราะอุดมไปด้วยโฟเลตในปริมาณสูง จึงช่วยป้องกันครรภ์เป็นพิษและช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่

นอกจากนี้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ยังได้รับความนิยมในการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงนิยมนำไปใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดในทางการแพทย์ รวมถึงนำไปแปรรูปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมากมาย ได้แก่ ซูชิ โดนัท คุกกี้ เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป และข้าวตัง เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88/

ขนมจีนบางรายก็มีสารกันบูดที่อาจทำให้ตับไตพัง

ขนมจีน
ขนมจีน

พบข้อมูลในนิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2559
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สุ่มตรวจขนมจีน (Khanom chin) ทั้งหมด 12 ยี่ห้อ
พบว่ามีสารกันบูดตกค้างทั้ง 12 ตัวอย่าง
มากบ้าง น้อยบ้างต่างกันไป แต่เบื้องต้นมีกันทุกยี่ห้อ ถ้าไม่ใส่ก็จะเสียนั่นเอง
ปัญหาคือ สารกันบูดทำให้มีความเสี่ยงเรื่องตับไตพัง
ถ้าขับออกทันก็สะสมปัญหากันไป หากขับออกไม่ทันถึงพิการได้เลย


สุ่มตรวจมา 12 ราย พบว่าใส่ทุกราย
แต่ใส่แล้วไม่เกินที่กำหนดมี 10 ราย
ที่เกินกำหนดมี 2 ราย คือ 1114.30 และ 1121.37
มาตรฐานหรือที่กำหนดไว้คือไม่เกิน 1000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

สรุปว่าทานขนมจีนมาก ๆ เสี่ยงตับไตพัง
แต่คนที่ขายขนมจีนแบบสด และหมดใน 1 วัน เค้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่นะครับ
http://health.sanook.com/2897/

ขนมจีน ทำมาจากข้าวจ้าวที่นำไปหมักที่ใช้จุลินทรีย์เข้าย่อยแป้ง แล้วนำไปบด ไปต้ม แล้วคั้นผ่านรูให้ออกมาเป็นเส้นลงในน้ำเดือดก็จะได้ขนมจีนที่สุกแล้วจุ่มลงน้ำเย็น และนำไปทานได้


ขนมจีน เป็นอาหารคาวชนิดหนึ่ง ทำด้วยแป้งเป็นเส้นกลม ๆ คล้าย เส้นหมี่ รับประทานกับน้ำยา น้ำพริก เป็นต้น อาหารชนิดนี้ ภาษาเหนือเรียก “ขนมเส้น” และภาษาอีสานเรียก “ข้าวปุ้น”
https://en.wikipedia.org/wiki/Khanom_chin

ข้อมูลเรื่องสารกันบูด
ที่ http://guru.sanook.com/4320/

แจกสูตรวิธีทำกุ้งเด้ง กรอบ

เคล็ดลับ นั้นก็คือ เริ่มจากการเลือกซื้อกุ้ง คือ ต้องเป็นกุ้งสดเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับต้องเป็นกุ้งตัวเป็นๆ เพียงแค่การเลือกซื้อกุ้งนั้น ต้องเป็นกุ้งที่หัวติดแน่นกับลำตัว กุ้งสดหัวจะไม่เป็นสีดำ ตาต้องใส เนื้อแน่น ครีบและหางต้องไม่เป็นสีชมพู สีจะไม่ซีด และไม่มีกลิ่นเหม็น
จากนั้นเรามาเริ่มทำกุ้งเด้งกันเลย!!

สิ่งที่ต้องเตรียม
-กุ้งสด
-เกลือ
-น้ำแข็ง

วิธีทำกุ้งเด้ง

1. ทำการแกะเปลือกกุ้ง และเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้งออก (ถุงดำๆ บนหัวกุ้ง) เพราะในส่วนหัวของกุ้งจะมี ถุงขี้กุ้งอยู่ ซึ่งจะทำให้ตัวเอ็นไซม์กุ้ง ออกมาย่อยสลายเนื้อกุ้งโดยธรรมชาติของมัน ซึ่งถ้าเราซื้อกุ้งสดมา ถ้ายังไม่ได้นำไปประกอบอาหารอะไร ควรเด็ดหัวกุ้งหรือถุงขี้กุ้ง นั้นออกเสียก่อน เพื่อให้กุ้งยังคงความสดอยู่ได้เพิ่มขึ้น จากปกติ

2. นำกุ้งไปคลุกเคล้ากับเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน และล้างออกด้วยน้ำเย็น นำไปคลุกเกลือเพราะจะทำให้กุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวได้ดียิ่งขึ้นนั้นเอง เนื่องจากถ้ากุ้งเก็บน้ำไว้ในตัวน้อยเท่าไรก็จะทำให้ เนื้อกุ้ง ยิ่งแห้ง มากขึ้นเท่านั้น

3. นำกุ้ง ที่ล้างน้ำแล้ว มาแช่ไว้ในน้ำที่ใส่เกลือผสมอยู่ (ใส่น้ำให้พอมิดตัวกุ้ง) แล้วนำน้ำแข็งมาโปะไว้ด้านบน รอจนน้ำแข็งละลาย

เพียงแค่นี้ เราก็ได้กุ้งเด้งไว้ปรุงอาหารรับประทานกันแล้ว ง่ายมากๆเลยใช่ไหมค่ะ วิธีทำแสนง่าย แถมยังปลอดภัยจากสารเคมีอีกด้วย อย่าลืมลองไปทำกันดูนะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/03/blog-post_563.html

5 เคล็ดลับ ดูแลผิวหน้าร้อน

1. ครีมกันแดด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญแสงแดดก็คือครีมกันแดดค่ะ และสำหรับแสงแดดที่แผดจ้าอย่างนี้สาวๆ ต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปถึงจะพอค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสู้แสงแดดแรงๆ ไม่ได้นะเออ

2. ดื่มน้ำให้ได้ 8-10 แก้ว การดื่มน้ำเยอะๆ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวในฤดูร้อนที่ผิวมักจะแห้งอย่างนี้ค่ะ

3. น้ำเย็นช่วยฟื้นฟูผิว ไม่ว่าคุณจะออกไปโดนแดดมาเป็นเวลานานหรือแดดจะแรงเท่าไหร่ กลับมาบ้านลองใช้น้ำเย็นล้างหน้ารับรองว่านอกจากจะรู้สึกผิวสดชื่นเย็นสบายแล้วน้ำเย็นยังจะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้เป็นอย่างดีด้วยค่ะ

4. อย่าใช้รองพื้นที่หนาเกินไป เพราะคุณจะสวยได้ไม่นานหน้าก็จะมันเยิ้มจากการเผชิญแสงแดดร้อนจ้า ซึ่งแน่นอนว่า การที่ครีมรองพื้นละลายเข้ากับความมันบนใบหน้าแล้วใบหน้าคุณก็จะมีสิวเห่อเอาได้ง่ายๆ ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดและรองพื้นบางๆ ก็พอค่ะ หรือไม่ก็ทาแป้งแบบชริมเมอร์ก็ช่วยเรื่องความสว่างสดใสได้เยอะส่วนเครื่องสำอางนั้น ลองเลือกที่กันน้ำได้ก็จะลดปัญหาเครื่องสำอางละลายเปื้อนใบหน้าได้ค่ะ

5. ทานผลไม้หรือน้ำผลไม้กันบ่อยๆ เช่น แตงโม แคนตาลูป หรือผลไม้ธาตุเย็น เพราะผลไม้ประเภทนี้จะอุดมไปด้วยน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพอๆ กับน้ำเลยล่ะ แต่ดีตรงที่มันมีรสชาติดีและอาหารบำรุงผิวที่คุณจะได้มาพร้อมกับความหวานอร่อยของมันนั่นเอง ดังนั้น ทานผลไม้เยอะๆ กันให้ได้ทุกวันนะค่ะ

-ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/vanatoey/2014/02/07/entry-4

ข้อดีข้อเสียของเบียร์

เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนติดใจเป็นหนักหนา เพราะรสชาติที่มันนุ่มลิ้นดีแท้ นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์ จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้

วันนี้เรานำเกร็ดความรู้มีประโยชน์ และโทษของการดื่มเบียร์มาฝากกัน…

เริ่มจากประโยชน์ของเบียร์ก่อนเลยค่ะ

ประโยชน์ของเบียร์มีมากมายเลยทีเดียวค่ะ นอกจากจะมีสารต่าง ๆ มากกว่า 1,000 ชนิด อีกทั้งมีทั้งวิตามิน เกลือแร่ ที่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง ใครที่ชอบดื่มเบียร์คงจะถูกใจมิใช่น้อย เมื่อได้ยินว่า เบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะมีข้อดียังไงก็ควรดื่มแค่ควรก็พอค่ะ วันนี้เราจึงแนะนำ ประโยชน์ของเบียร์ ให้ได้ศึกษาเอาไว้ ดังนี้

ป้องกันโรคหัวใจ

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 – 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต

แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน

ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึง ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน

จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 – 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง

โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต

นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรค นิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ

สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง

เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งโดยการดักจับอนุมูลอิสระตัว ร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย

ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ทุกๆ อย่างในโลกของเราก็จะมีทั้งให้ประโยชน์ และให้โทษเสมอนะค่ะ มาศึกษาถึงผลเสียของการดื่มเบียร์กันบ้างค่ะ ดังนี้เลยค่ะ

ผลเสียของเบียร์ :
ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสียเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ  ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป
ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะดื่มเบียร์ครั้งต่อไป ก็ลองคิดให้ดีๆ  ว่าร่ายกายเราพร้อมแค่ไหนก่อนดื่มนะค่ะ

เพื่อสุขภาพที่ดีต้องดื่มให้เป็น  และพอประมาณนะค่ะ  ถ้าอะไรที่มากเกินไปก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราได้ค่ะ….

– See more at: http://www.thaiall.com/blogacla/nok/3092/#sthash.SoHqXJlV.dpuf

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้แบนราบอย่างรวดเร็ว

คนส่วนใหญ่โดยทั่วไป มักจะมีไขมันส่วนเกินสะสมตัวอยู่ริเวณหน้าท้องส่วนล่างอยู่ระดับหนึ่ง ซึ่งเจ้าไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นเสมือนเบาะ ที่คอยรองรับป้องกันอวัยวะบริเวณนั้นจากแรงกระแทกภายนอกร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไขมันเหล่านั้นมีการสะสมตัวจนมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “ลงพุง” ยื่นออกมาน่าเกลียด จนทำให้ร่างกายโดยรวมดูไม่สวยงาม สวยเป๊ะ อย่างที่ควรจะเป็น แถมพุง ยังเป็นบ่อเกิดของการเกิดโรคภัยต่างๆ อีกมามาย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลืองสมอง เป็นต้น ดังนั้น วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้อยู่ในเกณฑ?มาตราฐาน จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง

วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง
ให้แบนราบอย่างรวดเร็วมีเคล็ดลับอย่างไรบ้าง?
สำหรับ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ให้ลดลงอย่างรวดเร็วนั้น มีขั้นตอน และข้อปฎิบัติที่ไม่ได้ยากเย็นจนเกินเกินไป เพียงแค่ทำตามหลักการ วิธีลดหน้าท้องส่วนล่าง ดังต่อไปนี้

1.ปรับสมดุลอาหาร การทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารที่มีไขมันน้อย มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย และที่สำคัญทำให้รู้สึกอิ่มง่าย ได้แก่ ทูน่า แอปเปิ้ลเขียว ไข่ต้ม อาหารลดพุงมีส่วนช่วยลดไขมันได้ดี แถมยังช่วยร่างกายไม่โทรมเวลาลดน้ำหนัก

2.ชาสมุนไพรช่วยลดพุงได้ การดื่มชาสมุนไพรเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการเผาผลาญอาหาร ช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายในร่างกาย ลดความเครียด อย่างเช่น ชาเขียว ที่มีสาร EGCG อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการดื่มชาเขียวเป็นวิธีลดหน้าท้องแบบธรรมชาติที่ดีวิธีหนึ่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม เริ่มต้นด้วยท่าแรก “บริหารเอว” ให้นอนหงาย แล้วยกขาขวาขึ้นโดยให้ตาตุ่มของขาขวาวางอยู่บนเข่าซ้าย เหยียดมือซ้ายไปทางด้านหลังศีรษะ ส่วนมือขวาวางไว้กับพื้น ยกไหล่ซ้ายขึ้นเหนือพื้นจนกระทั่งไหล่ของคุณแตะกับเข่าขวา แล้วลงนอนราบกับพื้นเหมือนเดิม ทำซ้ำให้ครบหนึ่งเซ็ตสำหรับข้างนี้ แล้วทำสลับอีกข้าง

ต่อมาให้บริหารหน้าท้อง โดยนอนหงายระนาบไปกับพื้น ไขว้ขาโดยวางส้นเท้าซ้ายทับบนหัวแม่เท้าขวา ใช้มือซ้ายวางรองใต้คอ ส่วนมือขวาถือดัมเบลล์หรือขวดน้ำขนาดพอเหมาะยกขึ้นบนอากาศ ยกไหล่ขึ้นจากพื้นจนคุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อท้องส่วนล่างเกร็ง และค้างไว้ในท่านี้สักหนึ่งวินาที แล้วลงนอนราบ นับเป็นหนึ่งครั้ง

สุดท้ายจบด้วยท่ากระชับหน้าท้องส่วนกลาง ให้นั่งตัวตรงพร้อมกับเหยียดขาและแขนทั้งสองออกไปด้านหน้า ค่อยๆโน้มตัวลงจนถึงพื้น โดยพยายามให้แขนทั้งสองข้างลงอยู่เหนือศีรษะ หายใจออกแล้วยืดตัวขึ้นกลับเข้าสู่ท่านั่งเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ลดคอเลสเตอรอล

แม้ว่าคอเลสเตอรอลจะมีประโยชน์ในด้านการเสริมสร้างพลังงานแก่ร่างกายของคน แต่ถ้ามีมากจนล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอเลสเตอรอลตัวที่ไม่ดีนั้น อาจส่งอันตรายถึงชีวิต และนี่ก็คือสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนไทยตายปีละหมื่นๆ แสนๆ คน
แพทย์หญิง คุณสวรรยา เดชอุดม ประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความรู้ว่า คอเลสเตอรอลในร่างกายคนเรามีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

1.  Low-density lipoprotein หรือ LDL คือคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี เพราะสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและอุดตันเส้นเลือดแดงได้
2.  High-density lipoprotein หรือ HDL เป็นคอเลสเตอรอลที่ดีต่อร่างกาย เพราะช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกไปจากระบบการทำงาน

“คอเรสเตอรอลมีทั้งที่มีประโยชน์ ถ้ามีในปริมาณที่พอดี แต่ก็เป็นโทษได้ หากมากเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้เกิดตะกรันในหลอดเลือด ทำให้เกิดอันตราย อย่างถ้าไปขังกันเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ก็อาจจะทำให้เสียชีวิตกะทันหัน หรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้” แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าว   โดยหลักการ 80% ของคอเลสเตอรอลนั้น ถูกผลิตขึ้นมาจากตับ แต่อีก 20% นั้นก็มาจากอาหารที่คุณเลือกรับประทานเข้าไป ดังนั้น หลักง่ายๆ ในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้คอเลสเตอรอลสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่บริโภคไขมันอิ่มตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้ตับผลิตคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกมามากมาย

แพทย์หญิง คุณสวรรยา กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การมีคอเลสเตอรอลที่สูงจนเป็นปัญหา มีอยู่ 10 ประการด้วยกัน คือ
1.บุหรี่    2.ความดัน      3.ไขมันปกติ ทั้งดีและเลว    4.เบาหวาน    5.ไตรกีเซอไรด์    6.อ้วนลงพุง    7.ความเครียด  8.เกลือ       9.น้ำตาล     10.ไม่ออกกำลังกาย

“จำไว้ว่า คอเลสเตอรอลอย่างเดียวไม่ให้โทษ เช่น ถ้าเรามีคอเลสเตอรอลสูง แต่ความดันไม่สูงด้วย ก็ไม่เป็นไร หรือไม่มีเบาหวานและไขมันในร่างกายปกติ ก็ไม่เป็นไร และเหนืออื่นใด คอเลสเตอรอลจะสูงหรือไม่นั้นก็เกิดจากน้ำมือของเราเอง มือของเราที่หยิบอาหารใส่ปาก” คุณหมอประธานโครงการอาหารไทยหัวใจดี กล่าว

ทั้งนี้ อาหารที่กินแล้วดีมีประโยชน์ ไม่ให้โทษในด้านคอเรสเตอรอล จะต้องกินอะไรบ้าง? คุณหมอบอกไว้ ดังนี้
1.  ทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
2.  ทานถั่วเมล็ดแห้งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
3.  ทานผักในตระกูลครูซิเฟอรัสทุกวัน ได้แก่ ผักคะน้า บร็อกโคลี ดอกกะหล่ำ แขนงผัก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
4.  ทานผักที่มีสีสันต่างๆ และผลไม้ให้หลากหลายทุกวัน
5.  ผลิตภัณฑ์ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสีทุกวัน เช่น ข้าวซ้อมมือ
6.  เลือกน้ำมันในการประกอบอาหาร
7.  รับประทานผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย หรือนมขาดไขมันแทนผลิตภัณฑ์นมเต็มไขมัน
8.  ควบคุมปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ไม่เกินวันละ 200 กรัม
9.  ทานกระเทียมสดเป็นประจำ

—————————–ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000091023

Social media ในหนังสือพิมพ์

หนังสือพิมพ์ใน Social Media
social media ในหนังสือพิมพ์

ตามที่ อ.ปุ้ม มอบหมายให้ผมพูดคุยเรื่อง “Social Media ในการเผยแพร่ข่าว” ให้นักศึกษาฟัง จึงเข้าไปสำรวจเว็บไซต์ข่าวในส่วนกลางที่ทำด้านหนังสือพิมพ์ ได้ข้อมูลจาก 9accounting.com ว่ามีทั้งหมด 20 หนังสือพิมพ์ แล้วเข้าไปในแต่ละเว็บไซต์จะพบลิงค์ไปยังสื่อสังคม (Social Media) ไม่เหมือนกัน ข้อมูลที่ได้มานี้สำรวจเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2559 หากตกหล่นด้วยประการใดก็ขออภัย เพราะบางลิงค์เข้าไม่ได้ และอาจมีบางบริการในสื่อสังคม แต่ไม่ทำลิงค์ในเว็บไซต์ก็เป็นได้

ข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับเชื่อมโยงกับ facebook.com แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็น fan page และมีถึงร้อยละ 90 ที่ใช้บริการของ twitter.com และมีร้อยละ 45 ที่ให้บริการ RSS Feed และมีเพียงร้อยละ 40 ที่เชื่อมโยงกับ youtube.com ส่วน google+ และ instagram มีเท่ากัน คือร้อยละ 25 แต่มีเพียงรายเดียว หรือร้อยละ 5 ที่ให้บริการข้อมูลใน Line

สำหรับการให้ข้อมูลข่าวสาร บางหนังสือพิมพ์ก็เคลื่อนไหวทุกวัน แต่บางหนังสือพิมพ์ก็นาน ๆ ครั้ง จะบ่อยหรือไม่บ่อยเพียงใด เข้าไปติดตามกันได้ เพราะจะมีการเคลื่อนไหวให้เห็นแตกต่างกันไป ตั้งแต่ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือนตามนโยบายของแต่ละหนังสือพิมพ์