อยากเกิดเป็นคนหลายใจ

เพลง อยากเกิดเป็นคนหลายใจ ของ กะลา
มีเนื้อหาที่ดี สอดคล้องกับวิถีพุทธที่ว่า
ถ้าถือแล้วหนักก็ปล่อยก็วาง ถ้าปล่อยวางได้แล้ว
ทำใจได้แล้ว ก็จะไม่หนักไม่ทุกข์อีกต่อไป
เนื้อเพลง
ตั้งแต่ที่รักเธอ ก็ไม่เคยรักใคร
ไม่เคยแบ่งหัวใจ ให้ใครเลยสักหน
แต่หนึ่งใจของเธอ ทำไมช่างวกวน
มีใครอีกหลายคน ซ่อนไว้ตั้งมากมาย
ไม่เคยจะคิดเลย ว่าเธอทำได้ลง
กับคนที่มั่นคง ให้เธออย่างหมดใจ
ไม่มีใจเหลือเฟือ ไม่เผื่อใจให้ใคร
เมื่อเธอมาทิ้งไป มันทนไม่ได้เลย
* อยากเกิดเป็นคนหลายใจ รักใครทีละหลายคน
ไม่ต้องมาทุกข์ทน เสียคนแทบเป็นแทบตาย
เกิดเป็นคนใจเดียว แล้วมันไม่มีความหมาย
อยากเป็นคนหลายใจ(เหมือน/อย่าง)เธอ
ไม่อยากจะโทษเธอ ไม่อยากจะโทษใคร
ที่เจ็บและเสียใจ เมื่อเธอไม่เหลียวแล
มันผิดที่ฉันเอง ที่เกิดมารักเดียว
ก็เจ็บอยู่ข้างเดียว ไม่มีใครสนใจ
(ซ้ำ *)
(ซ้ำ * , *)

หนังสือ “กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม” ที่ 7-eleven เล่มยี่สิบ

กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม @booksmile
กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม @booksmile
ต้นปี 2556 ผมอ่านหนังสือ “หกสิบคาถาชีวิต” ของ คุณวิกรม กรมดิษฐ์
แล้วแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ด้วย เพราะหัวหน้าบอกว่าเป็นหนังสือดี
จึงไปหามาอ่าน แล้วก็พบว่าดีจริง ๆ

แล้วต้นปี 2559 ได้อ่านหนังสือ “กินอยู่ง่าย สไตล์วิกรม” เล่ม 20 บาท
พบว่าไม่ผิดหวังเลยที่ได้ซื้อ และได้อ่าน
เมื่ออ่านบทที่ 1 แล้วทำให้นึกถึงหนังสือ Steve jobs
ตอนนั้น Jobs ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน พยายามรักษาแล้ว
แต่สุดท้ายก็ยื้อชีวิตต่อไปไม่ได้ ซึ่งคุณวิกรม โชคดีกว่า
คุณวิกรม เล่าเรื่อง “เมื่อผมเกือบตาย
ซึ่งเขาต้องไปผ่านตัดหัวใจที่อเมริกาตอนอายุ 43 ปี
ผมชอบบทนี้มาก ในตอนที่พูดถึงการดื่มไวน์จนเมา
แล้วชี้ให้เห็นโทษของการดื่มสุรา
ซึ่งน้อยคนนักที่จะหยุดการดื่มได้เอง
เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เลิกสุราด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพ
คือ “ป่วยแล้วเลิก” ไม่ใช่ “คิดแล้วเลิก
ปัญหาจากการดื่มสุราที่คุณวิกรมสะท้อนในหนังสือ
หน้า 15 เล่าได้ชัดเจน คือ โรคหัวใจ โรคตับ
เส้นเลือดในสมองแตก ขับรถชนเขา หรือเสียชีวิต
ซึ่งเป็นภัยเงียบ
แลกความสุขด้วยความเจ็บป่วย เป็นอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสีย
ที่จะไปแลกความทุกข์กับความสุขเพียง 1 – 2 ชั่วโมง
อ่านแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเขาคิดได้ และได้มีสุขภาพที่แข็งแรง

มีความตอนหนัง พอสรุปได้ว่า
.. สมัยหนุ่ม ๆ เรียนอยู่ปี 3 คุณวิกรม ปั่นจักรยานเสือหมอบ
ทำด้วยอะลูมิเนียม Made in England เบามาก
ปั่นขึ้นลงเขาจากไทเป ไปจนถึงซินจู๋ รวมกว่า 150 กม.
ในวันเดียว คือไปเช้าเย็นกลับ กลับมาหนังไปเกือบ 2 วัน ..

ก็เป็นเรื่องเล่าเร้าพลัง ทำให้อยากปั่นจักรยานได้ดีมาก

ภาพลักษณ์พนักงาน (itinlife531)

นอนเล่นบนกองขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์
นอนเล่นบนกองขนมปังที่ใช้ทำเบอร์เกอร์

เคยอ่านโพสต์ของคุณอนัณทินี จิตจรุงพร เป็น Image and branding consultant แล้วสนใจคำว่า Personal branding บอกว่า ภาพลักษณ์พนักงานมีผลต่อภาพลักษณ์องค์กร ทำให้นึกถึงภาพลักษณ์ของพนักงานในเครือข่ายสังคม ทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตาแกรม หรือกูเกิ้ลพลัส ซึ่งมีพนักงานจำนวนหนึ่งเชื่อว่าตนเองไม่ใช่เจ้าขององค์กร เป็นเพียงพนักงานคนหนึ่ง ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ขององค์กร จึงไม่มีความจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเองในบทบาทที่เป็นพนักงานองค์กร ซึ่งก็ใช่ถ้าพนักงานไม่คิดจะก้าวหน้าในองค์กร และไม่มีกลุ่มเป้าหมายขององค์กรเข้าถึงตัวคุณ หรือรับรู้ว่าคุณคือพนักงานขององค์กร
เมื่อถึงเวลาประเมินการปฏิบัติงานประจำปี ที่ต้องพิจารณาผลการดำเนินงานเชิงปริมาณตามที่ตกลงกันไว้แล้ว เช่น ความสำเร็จตามตัวบ่งชี้ ทำยอดทะลุเป้า ทำงานที่มอบหมายได้ครบถ้วน คุณภาพของชิ้นงาน การขาดลาสายหรือไม่ อีกปัจจัยที่มักใช้ประกอบการประเมินคือหัวหน้ามักมองภาพรวมด้วยเช่นกัน ว่าพนักงานแต่ละคนมีภาพลักษณ์ที่เหมาะสมหรือไม่ อาจดูรูปลักษณ์ภายนอก มีบุคลิกที่ดี แต่งหน้าทำผมมาทำงาน ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยที่ดี มีจิตอาสา มีจิตสำนึกสาธารณะ แลกเปลี่ยนกับเพื่อนและหัวหน้าเชิงบวกเป็นประจำ รีดเสื้อผ้าและสะอาดเสริมภาพลักษณ์องค์กร ทำห้าสอเป็นประจำ สมเป็นพนักงานของบริษัทที่ส่งเสริม Brand Ambassador
มีคำกล่าวว่า ไม่ทำดี ก็อย่าทำเสีย ซึ่งเกี่ยวกับการรักษาภาพลักษณ์พนักงาน เมื่อมีการใช้เครือข่ายสังคมก็จะพบเห็นพฤติกรรมพนักงานจำนวนหนึ่งที่ไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาภาพลักษณ์ ไม่สนใจกลุ่มเฟสองค์กร ไม่สนใจแฟนเพจองค์กร แล้วคิดว่าได้กำหนดการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะเพื่อนแล้ว จะทำให้การแสดงความคิดเห็นของตนไม่รั่วไหล ไม่รับหัวหน้า หรือลูกค้าขององค์กร หรือคนที่ไม่หวังดีต่อตนมาเป็นเพื่อน แล้วบ่น ระบาย โพสต์ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ซึ่งอาจเป็นภาพลักษณ์เชิงลบในมุมมองขององค์กร หรือปล่อยเกียร์ว่าระหว่างทำงาน เช่น แชทในเวลางานถูกเชิญออกได้ ซึ่งมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้สิทธินายจ้างบอกเลิกจ้างได้ทันที เมื่อพบพฤติกรรมการแชทออนไลน์เรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน

อธิบายยากครับ ว่าทำไปทำไม
อธิบายยากครับ ว่าทำไปทำไม

คุณอนัณทินี จิตจรุงพร เป็น Image and branding consultant
https://www.facebook.com/imageinspirationbytinee/posts/1490879257880081
สัมภาษณ์แอร์โฮสเตส
https://www.youtube.com/watch?v=8aVjfSnwRvc
การเลือกคนไปทำงาน ความสามารถไม่ใช่สิ่งเดียว ภาพลักษณ์ก็เป็นปัจจัย
https://www.youtube.com/watch?v=Pbid7WRw1mc

เคล็ดลับให้ผู้หญิงวัย 40 ดูอ่อนเยาว์

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ไม่แปลกที่พออายุมากขึ้น ผู้หญิงเรา ก็มักจะดูแลตัวเองมากขึ้นเพื่อคงความอ่อนเยาว์ของตัวเองไว้ให้นานที่สุด ไม่ว่าจะออกกำลังกาย แต่งหน้า หรือทำผม ก็ตามที
วันนี้เอาใจผู้หญิงวัยแตะเลข 4 กันหน่อย ด้วยเคล็ดลับ 5 อย่าง เพื่อให้ผู้หญิงได้เปลี่ยนตัวเองสู่ความอ่อนเยาว์อย่างแท้จริง ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ

1.  เรื่องของผิว ผู้หญิงวัย 40 หลายคนมักจะคิดว่าการสครับผิวบ่อย ๆ จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้ดูสดใสขึ้น จึงต้องขัดผิวกันให้มากหน่อย ซึ่งทำให้ผิวแห้งขึ้นและทำลายผิวโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญ หลายคนมักคิดว่าจะต้องดูแลใบหน้าด้วยครีมชะลอริ้วรอยแห่งวัยทั้งหลาย แต่จริง ๆ แล้ว ผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอยแห่งวัย หรือ anti-aging cream นั้น ส่วนเหมาะสำหรับสาว ๆ อายุ 20-35 เท่านั้นค่ะ แต่สำหรับคนวัย 40 แล้ว ต้องการอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือการมองหาวิตามินบริสุทธิ์ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้โดยตรง อย่างวิตามิน A , C  หรือ เรติน A ที่ช่วยในการสมานริ้วรอย จุดด่างดำต่าง ๆ ซึ่งมีขายตามร้านขายยา และคลินิกผิวค่ะ

2. เรื่องของความสวยบนใบหน้า ผู้หญิงวัย 40 ส่วนใหญ่เลยมักจะ “โบ๊ะ” เพื่อปกปิดริ้วรอยแห่งวัยให้มากที่สุด ซึ่งนั่นจะทำให้ขาดความเป็นธรรมชาติบนใบหน้า และหลายครั้งสังเกตกันไหมคะว่า ยิ่งคุณปกปิด มันยิ่งเน้นให้ริ้วรอยของคุณชัดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยคอนซีลเลอร์หนาเตอะ หรือรองพื้นที่โปะทับด้วยแป้งพัฟอีกครั้งก็ตาม ลองเปลี่ยนใหม่ดูค่ะ เผยความเป็นธรรมชาติออกมาให้เห็นกันหน่อย ด้วยการลงรองพื้นชนิดน้ำบาง ๆ ลงแป้งเบา ๆ แล้วดึงดูดความสนใจไปที่ดวงตา หรือริมฝีปาก ด้วยการปัดมาสคาราเพิ่มเสน่ห์ให้ดวงตา และทาปากสีอ่อน ๆ ก็พอแล้วค่ะ

3.  เรื่องของผม
ผู้หญิงวัย 40 หลายคนมักจะปกปิดผมขาวด้วยการทำสีผมน้ำตาลแดง หรือสีอ่อน ๆ หวังกระชากวัย แต่จริง ๆ แล้ว สีผมที่ทำให้คนเราดูอ่อนวัยมากที่สุด คือสีดำธรรมชาติค่ะ ดังนั้นสำหรับผู้หญิงวัย 40 แล้ว ควรทำสีผมสีดำไปเลย หรือจะเคลือบเงาให้ดูผมมีน้ำหนักสุขภาพดีด้วยยิ่งดีไปใหญ่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า เรื่องผมสวยเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนดูอ่อนกว่าวัยได้จริง ๆ นะ

4.  เรื่องของการแต่งตัว หลายคนอาจมีสไตล์ที่คุณชอบ และชอบมาตลอดหลายปี แต่ในบางครั้งการลุกขึ้นมาลองแฟชั่นใหม่ ๆ จะทำให้คุณค้นพบสไตล์ใหม่ ๆ ที่นอกจากจะแมทช์กับคุณแล้ว ยังทำให้คุณดูเด็กลงได้อีก ดังนั้นการลองเสื้อผ้ารูปแบบใหม่บ้าง เป็นสิ่งที่ดีค่ะ หรือหากคุณยังชอบใส่เสื้อผ้าสไตล์เดิม ๆ ล่ะก็ ลองเล่นสีสันให้สดใสกว่าเดิมดู จากเสื้อสีเอิร์ธโทน สีหม่นที่คุณเคยสวมใส่ ลองเปลี่ยนเป็นสีชมพู ฟ้าสดใส จากกางเกงสีดำ น้ำตาลเข้ม ลองเปลี่ยนเป็นกางเกงสีขาวแล้วใส่กับรองเท้าส้นสูงดู รับรองว่าคุณจะดูสาวขึ้นเยอะเลยทีเดียวค่ะ

5.  เรื่องของรูปร่าง การดูแลรูปร่างเห็นจะเป็นสิ่งจำเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงวัย 40 เลยก็ว่าได้ เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพและการรับประทานอาหารที่เพียงพอ ไร้ไขมันส่วนเกินบั่นทอนสุขภาพอีกด้วย จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้หญิงวัย 40 หลายคนแอโรบิค เอ็กเซอร์ไซส์อย่างเป็นกิจวัตร ซึ่งนี่เป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพจริง แต่คุณเชื่อไหมคะว่า การออกกำลังกายที่ทำให้คุณดูอ่อนวัยนั้น ควรจะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ทั้งกำลังและสมองไปพร้อม ๆ กัน อย่างเช่น การเดินถอยหลัง เล่นบาสเกตบอล บัลเล่ต์ ยืนทรงตัวขาเดียวขณะหลับตา เป็นต้น ซึ่งหากคุณทำบ่อย ๆ ควบคู่กับการออกกำลังกายปกติ จะทำให้ดีต่อทั้งสุขภาพ และสมอง และในที่สุดแล้ว มันจะทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยอย่างไม่น่าเชื่อ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้คุณอ่อนเยาว์ได้ คือ การทำอารมณ์ให้สดใสควบคู่ไปกับการดูแลตัวเอง อย่าลืมค่ะว่า ความอ่อนวัยนั้นต้องมาจากภายในด้วย เพียงแค่คุณหัวเราะหรือยิ้มอย่างมีความสุขให้ได้ซักช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวัน มันก็จะช่วยชะลอความแก่และคืนความสดใส อ่อนเยาว์ให้กับคุณได้อีกนานเลยล่ะค่ะ

——————————–
ขอบคุณข้อมูล กระปุกดอทคอม

ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมกิจกรรม (itinlife530)

สิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy)
สิทธิความเป็นส่วนตัว (privacy)

ประชาชนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากกว่าร้อยละ 80 เช่น อินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ยิ่งเข้าถึงมากก็ยิ่งมีปัญหามาก จนภาครัฐต้องออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด เช่น พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น เทคโนโลยีอาจมีเพื่อการค้า บันเทิง  การศึกษา และการสื่อสาร การจัดกิจกรรมของหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชนต่างก็หันมาใช้เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไอจี ยูทูป หรือไลน์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เก็บข้อมูลจากผู้ใช้ บางท่านอาจมองข้อมูลที่มีปริมาณมากเป็นเสมือนเหมืองข้อมูล (Data mining) ดังที่อาจารย์อนุชิต เคยกล่าวว่า การศึกษาข้อมูลจากอดีตนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนายรูปแบบในอนาคต

มีกิจกรรมมากมายทั้งระดับองค์กร จังหวัด หรือประเทศที่เปิดให้บุคคลลงทะเบียนออนไลน์ มีการสอบถามข้อมูลทั้งเลขที่บัตรประชาชน ชื่อ สกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือขนาดเสื้อ เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ เช่น ใช้จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม ใช้เตรียมของสมนาคุณ ใช้เลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ใช้เพื่อให้ฝ่ายขายติดต่อไป หรือนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จนมีการร้องเรียนเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว (Privacy) ประเด็นนี้เยาวชนไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นส่วนตัวของตนน้อย ดังที่ อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย ได้นำเสนอบทความเรื่อง Information Ethics and Behaviors of Upper Secondary Students Regarding the Use of Computers แล้วได้ผลการทดสอบสมมติฐานว่านักเรียนมัธยมปลายในลำปางให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวในการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตน้อยกว่าจริยธรรมสารสนเทศในด้านอื่น

ได้เห็นหน่วยงานบางแห่งจัดกิจกรรมสอบถามข้อมูลของผู้เข้ามาร่วมกิจกรรม ได้นำไปเปิดเผยในหลายลักษณะ ทั้งผ่านอินเทอร์เน็ต หรือพิมพ์ติดไว้ตามบอร์ดประชาสัมพันธ์ เชื่อได้ว่ามีเจตนาดี แต่พบว่าข้อมูลหลายรายการควรเป็นความลับที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอาจไม่ประสงค์ที่จะเปิดเผย เพราะอาจถูกผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ในทางมิชอบ หากไม่มีใครทักท้วงก็จะเกิดการทำซ้ำ เป็นความเคยชินให้เห็นต่อไป หากท่านตระหนักถึงปัญหา และเกี่ยวข้องในการเผยแพร่ก็เสนอให้พูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องทำความเข้าใจ เพื่อจะได้หยุดการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นในที่สาธารณะโดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล สรุปว่าการเผยแพร่สามารถทำได้แต่ต้องมีการควบคุมด้วยความเข้าใจ เพราะสิทธิความเป็นส่วนตัวเป็นประเด็นจริยธรรมสารสนเทศหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ

Continue reading “ลงทะเบียนออนไลน์ร่วมกิจกรรม (itinlife530)”

โซเชียลบิดเบือน (itinlife529)

โซเชียลบิดเบือน (social disguise)
โซเชียลบิดเบือน (social disguise)

ปัจจุบันในโซเชียลมีเดีย (Social Media) ใครจะโพสต์อะไรก็ทำได้ บ่อยครั้งที่พบพฤติกรรมที่เรียกว่า ไม่คิดก่อนโพสต์ แต่พบพฤติกรรมอีกแบบที่เรียกว่า คิดก่อนโพสต์ ในมุมที่เจตนาบิดเบือนความจริง จนเป็นปัญหาต่อสังคม การเมือง และการปกครอง จน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม (บิ๊กป้อม) ต้องออกมาขอเจ้าหน้าที่ติดตามการเสนอข้อมูลทาง Social Media ที่บิดเบือนจากความจริง และไม่ยอมผู้ไม่หวังดีใช้สื่อนำเสนอเรื่องราวที่เป็นเท็จ สร้างความแตกแยกของคนในชาติ กระทบต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน ซึ่งผู้เขียนอ่านพบในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การบิดเบือนนอกจากประเด็นทางการเมืองที่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างเด่นชัดแล้ว ก็มีประเด็นมากมายที่ปรากฏออกมาให้คิดเห็นได้ว่ามีการบิดเบือนความจริง อาทิ การศึกษา สุขภาพ ความเชื่อลี้ลับ เมื่อนึกถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับโซเชียลมีเดียบิดเบือนก็นึกถึง 3 คำ ดังนี้ Social disguise, Social distortion และ Social blending การบิดเบือนความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับคำว่า คิดก่อนเชื่อ (Think first) และ คิดก่อนโพสต์ (Think before you post) ปัจจุบันเรามักไม่ได้คิดก่อนโพสต์ เพราะการโพสต์เป็นเรื่องง่าย คิดอะไรก็โพสต์ไป ด่าใครในข่าวก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เห็นการด่ากันในข่าวโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องปกติ จนส่งผลให้คิดก่อนเชื่อลดน้อยถอยลง เชื่ออะไรง่ายกว่าแต่ก่อนมาก ที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องสุขภาพ บอกว่าทานอะไรแล้วเป็นพิษก็เชื่อ เห็นอะไรแล้วเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็เชื่อ จน ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ เก็บประเด็นมาเล่าในรายการวิทยาตาสว่าง

ในทางการเกษตรระยะหลังเห็นสื่อเล่าเรื่องความสำเร็จของการทำเกษตร เช่น ออกงานไปปลูกไผ่กิมซุ่ง ปลูกมะลิ ปลูกดาวเรือง หรือ ปลูกผักหวานรายได้เป็นล้าน มีความจริง 2 ข้อ คือ ทำเกษตรแล้วสำเร็จ กับทำเกษตรแล้วล้มเหลว ดังนั้นต้องคิดก่อนเชื่อ เพราะการเกษตรเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่ต้องใช้เงินเพื่อให้ได้เงิน ไม่ว่าจะเกษตรผสมผสาน เกษตรพันธสัญญา หรือค้าขายต่างก็มีความเสี่ยง มีเกษตรกรมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ที่ออกมาประท้วงขอรัฐช่วยเยี่ยวยา หรือผลผลิตมากเกินความต้องการจนต้องนำมาเท เพื่อประท้วงให้รัฐออกมาตรการช่วยเหลือ ดังนั้นจะเชื่ออะไรก็ต้องคิดก่อน ศึกษาตนเอง ตลาด ความเสี่ยง ประเมินรอบด้าน และสรุปให้ชัดเจน ก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้ดังที่ข่าวนำเสนอ

+ http://www.baanmaha.com/community/threads/51297

+ http://www.thairath.co.th/content/506598

+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304399853&grpid=no&catid=51

บางทีโซเชียลก็อาจไม่ได้บิดเบือนก็ได้
เป็นที่ตัวเรามังครับ ที่ไม่คิดให้ดีก่อน ข่าวอาจดีอยู่แล้วก็ได้

ในทาง การเสี่ยงโชค ระยะหลังเห็น สื่อเล่าเรื่องรางวัลที่ 1
ใคร ๆ ก็ถูกได้ รวยได้
ผมงี้เชื่อสนิทใจเลยว่าสักวันต้องเป็นผม
หลัง ๆ ลงทุนค่อนข้างเยอะซะด้วย
ผมก็โทษสื่อไว้ก่อน เหมือนคำว่า
รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง
นี่ถ้าสื่อไม่ลงข่าวว่าคนธรรมดาอย่างผมก็มีโอกาส
ผมก็คงไม่ทุนเยอะ ๆ หวังเยอะ และผิดหวังเยอะ
แบบที่ผ่าน ๆ มา สรุปว่าง
“ปี่กลองผิดครับ ส่วนผมน่ะรำถูกล่ะ”

ผีอำ มีคำอธิบายทางการแพทย์

ผีอำ (Sleep Paralysis)
ผีอำ (Sleep Paralysis)

เพราะเปลี่ยนที่นอน คือนอนในที่แคบ ไม่สามารถเหยียดตัวตรง
และมีอากาศไหลเวียนน้อย ก็เหมือนกับนั่งบนรถทัวร์ลำปาง-กรุงเทพนั่นหละ
แต่ครั้งนี้ ไม่เคยชินกับที่แคบ น่าจะมีภาวะทางจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อตื่น หรือรู้สึกตัวว่าตื่น พบว่าขยับตัวไม่ได้
เหมือนถูกผีฉุดแขนฉุดขา
ในทางการแพทย์เค้าว่า ผีอำ (Sleep Paralysis) เป็นเพราะสมองตื่น แต่ร่างกายหลับไปแล้ว
การเปลี่ยนที่นอนครั้งนี้น่าจะทำให้กล้ามเนื้อ และข้อต่อเกิดความเครียด
เพราะลุกออกมา พบว่า เมื่อยขบไปทั้งตัว
http://health.kapook.com/view6718.html
อาการผีอำเกิดจากการที่กล้ามเนื้อของร่างกาย เข้าสู่ภาวะการหลับ
ที่เรียกว่า REM (Rapid Eye Movement)
แต่สมองส่วนที่เป็นจิตสำนึกยังตื่นอยู่ อาการผีอำเป็นอาการที่ร่างกายกับจิตสำนึกหลับไม่พร้อมกัน
หรือ ตื่นขึ้นมาไม่พร้อมกัน
http://บทความสุขภาพสั้นๆ.blogspot.com/2014/05/sleep-paralysis.html

เริ่มต้นลดน้ำหนัก

อะไรก็ตามมักจะยากตรงการเริ่มต้นนั่นล่ะค่ะ  สิ่งสำคัญคือ ทำใจและปรับตัวเองให้ได้ก่อนนะค่ะ เมื่อใจพร้อมเรามาเริ่มตั้งแต่ข้อแรกถึงข้อที่ 5 กันเลยค่ะ

1.  คำนวน ชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วน และ จดบันทึก
2. ตัดอาหารที่ไม่จำเป็นกับเราเสียก่อน
3. หลีกเลี่ยง ของทอด ของหวาน ของมัน ของเค็ม
4. ออกแรง ออกกำลังกาย ขยับตัวให้มาก
5. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ (ต้องเลือกทานนะค่ะ…เน้น)

เมื่อทำตามที่กล่าวไปแล้วน้ำหนักจะลดลงอย่างช้าๆ เพราะนั้นคือการปรับสมดุลให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี อย่าคาดหวังตัวเลขบนตราชั่งมากนัก ระหว่างทางอาจมีบ้างที่น้ำหนักจะนิ่ง แต่อย่ากังวล ให้เราใช้การวัดสัดส่วน สำรวจรูปร่างตัวเอง จากเสื้อผ้าจากคนรอบข้าง เพราะสิ่งที่เรากำลังทำต้องใช้เวลา เรากำลังเปลี่ยนแปลงพฤิกรรม ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าเปรียบเทียบกะใคร เราแข่งกับตัวเอง เพื่อให้ใด้สุขภาพที่ดี ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง หรือกลับมาทบทวนว่าเราขาดหรือหลุดในจุดไหนไปก็ปรับแก้ไป และผลสำเร็จที่ได้มานั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขบนตราชั่งเท่านั้น แต่มันจะเห็นผลชัดเจนที่เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ฟิตขึ้น และมีรูปร่างที่ดีเป็นของแถม

———————-ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.lovefitt.com

เคล็ดลับใส่ส้นสูง ไม่ปวดขา

ผู้หญิงกับรองเท้า ส้นสูง เป็นของที่คู่กันค่ะ วันนี้มีเคล็ดลับใส่ส้นสูงอย่างไรไม่ให้ปวดขามาฝากค่ะ


เคล็ดลับใส่ ส้นสูง ไม่ ปวด ขา

  • เลือก ส้นสูง ให้มีขนาดพอดีกับเท้า ถ้าจะให้ดีควรเลือกซื้อรองเท้าในตอนเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่เท้าขยายขนาดมากที่สุด เลือกรองเท้าที่มีหน้าเท้ากว้างพอดีกับความกว้างของเท้า
  • เลือกใส่รองเท้าที่ส้นไม่สูงมากเกินไปค่ะ ส้นสูง ประมาณนิ้วครึ่งถึงสองนิ้วกำลังดี แต่ถ้าใครคิดว่าอย่างชั้นส้นต้องสูงปรี๊ดเท่านั้น เราแนะนำให้คุณเลือกรองเท้าที่มีส่วนของหน้าเท้าสูงตามไปด้วยค่ะ อย่างหน้าเท้าสูงสองนิ้ว ส้นจะสูงสามถึงสี่นิ้วก็ยังไหว
  • เลือกรองเท้าที่มีสายรัด หรือหุ้มทั้งเท้า เพราะจะช่วยให้รองเท้ากระชับเข้ากับเท้า ไม่ต้องเกร็งมากเวลาเดิน
  • เลือกส้นรองเท้าที่ทำจากยาง เพราะจะทำให้รองรับแรงกระแทกได้ดีกว่าส้นรองเท้าที่แข็งๆ อย่างไม้ค่ะ
  • ถ้าเลี่ยงได้ ต้องไม่ใส่รองเท้า ส้นสูง เดินตลอดทั้งวัน อาจจะต้องมีช่วงเวลาพักเท่าบ้าง เปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ย หรือคัทชู ก็ทำให้คุณดูน่ารักไปอีกแบบนะคะ

นอกจากการเลือกซื้อรองเท้าคู่โปรดที่สวมใส่สบายแล้ว วิธีการเดินก็สำคัญนะคะ เดินให้ตัวตรง หลังตรง หน้าเชิดมองไปข้างหน้า เดินให้ขาอยู่ในแนวเดียวกัน และลงน้ำหนักที่อุ้งเท้า นอกจากจะเป็นท่าเดินที่ช่วยให้คุณดูสง่ามากขึ้นแล้ว ผลพลอยได้ที่ตามมายังทำให้คุณอยูบน ส้นสูง แบบไม่ปวดเมื่อยด้วยนะคะ

ขอบคุณภาพจาก http://news.byu.edu/

โรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน เหมือนหรือต่างอย่างไร

โรคกระเพาะ คืออะไรกัน มาดูกันเลย

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า ” โรคกระเพาะ ” นั้น จริงๆแล้วชื่อเต็มๆของเค้าคือ “โรคเเผลในกระเพาะอาหาร” มีอาการปวดท้องเรื้อรัง ปวดตอนนอนหลับ บางคนปวดเมื่อกินยาแก้ปวดต่างๆ โดยโรคกระเพาะนั้น จะมีสาเหตุหลักๆ มี 3 ประการ คือ

1. เกิดจากการกินยาแก้ปวดบางกลุ่มต่อเนื่อง

2. เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

3. เกิดจากพฤติกรรมกินอาหารไม่ตรงเวลา ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่

แล้ว โรคกรดไหลย้อน ล่ะต่างจาก โรคกระเพาะ ยังไง?

สำหรับโรคกรดไหลย้อนนั้น ส่วนใหญ่อาการจะคล้ายๆ กับ โรคกระเพาะ ค่ะ นั่นก็คืออาการ จุก เสียด เพียงแต่จะแตกต่างตรงตำแหน่งของอาการของโรค โรคกรดไหลย้อน จะมีอาการ “Heatburn” ซึ่งจะมีอาการแสบร้อนบริเวณกลางอกไปจนถึงลิ้นปี่ รวมไปถึงอาการ เรอเปรี้ยวได้ เพราะกรดมีการไหลย้อนขึ้นมาบริเวณทางหลอดอาหารซึ่งอยู่ที่บริเวณอกของเรานั่นเองค่ะ ส่วนสาเหตุหลักๆนั้นก็มาจากพฤติกรรมของเรา เช่นกัน คือ

พฤติกรรมการบริโภค และ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ทำให้เกิด กรดไหลย้อน

1. ทานอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากเกินไป ควรปรับเป็นทานบ่อยครั้งๆ ละน้อย

2. ชอบทานอาหารประเภททอด อาหารไขมันสูง อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด/เผ็ดจัดเป็นประจำ

3. ชอบดื่มน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม ดื่มเหล้า และสูบบุหรี่จัด

4. ชอบนอนทันทีหลังจากรับประทานอาหาร

5. ไม่ยอมรักษาน้ำหนักตัวให้พอเหมาะ ปล่อยตัวให้อ้วนเกินไป

6. ไม่ชอบออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

7. พักผ่อนไม่เพียงพอ และทำงานเครียด

8. สวมใส่เสื้อผ้าหลวมสบายตัว ไม่รัดเข็มขัดแน่น

จะเห็นได้ว่าโรคทั้งสองโรคนี้มีความแตกต่างกันตรงตำแหน่งที่เกิดอาการเป็นหลัก ถ้าปวดท้องเด่นก็อาจเป็น โรคกระเพาะ ถ้าแสบอกมากกว่าก็มีความเสี่ยงของ กรดไหลย้อน มากกว่าแต่งานวิจัยหลายๆชิ้นบ่งบอกว่า 20% ของคนที่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมักมีอาการอีกอย่างร่วมด้วยเสมอ ดังนั้นใครที่สังเกตอาการปวดท้องของตนเองแล้วพบว่ามีอาการตามที่บอกควรจะต้องรีบปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้โรครุนแรงขึ้นจนเรื้อรัง

สำหรับใครที่มีอาการทั้งสองโรคหรือไม่แน่ใจขอแนะนำให้ลองทานยาน้ำ ที่สร้างชั้นเจลและช่วยปรับสภาพกรดในกระเพาะอาหารให้เป็นกลางเพื่อลดอาการปวด และไม่สบายท้องที่มีสาเหตุจากกรดจะช่วยรักษา โรคกรดไหลย้อน ได้ โดยจะช่วยรักษาอาการของทั้งสองโรคทั้ง โรคกระเพาะ และ กรดไหลย้อน ในตัวเดียว ลองหาตามร้านขายยาทั่วไปดูค่ะ

ไม่ว่าจะเป็น โรคกระเพาะ หรือ โรคกรดไหลย้อน ต่างก็อันตรายด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นหากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง ทานยาไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ไว้เนิ่นๆนะคะ

ขอบคุณภาพจาก http://www.theunintelligencer.com