10 อันดับ สาขา-วิศวฯ รายได้ดีที่สุด 2014

environmental-engineer

‘วิศวกรรมศาสตร์’ สาขาอาชีพยอดฮิต ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ที่สำเร็จการศึกษาในสาขานี้ค่อนข้างสูงอีกอาชีพหนึ่ง หากมีการจัดอันดับสาขาอาชีพรายได้ดีที่สุดในโลกก็มักจะพบว่าอาชีพในสายวิศวกรรมยังคงครองตำแหน่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกเสมอ หลังจากที่ Life on campus ได้เสนอ 10 อันดับสายการแพทย์ที่รายได้ดีที่สุดในโลกประจำปี 2014 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คงจะพลาดไม่ได้กับสาขายอดฮิตอย่างวิศวกรรมศาสตร์ โดยผลการสำรวจจากเว็บไซด์ชื่อดัง National Association of Colleges and Employers หรือ NAC ได้ทำการสำรวจและวิจัยรายได้ของวิศวฯ ในสาขาต่างๆ โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยของเงินเดือนเริ่มต้น จนได้เป็น 10 อันดับสาขาวิศวกรรมที่มีรายได้สูงสุดประจำปี 2014 ดังนี้

อันดับ 10 : วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering)

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $43,200 ต่อปี หรือประมาณ 1,417,825 บาท

มาเริ่มกันที่อันดับ 10 “วิศวกรรมชีวการแพทย์” หรือเรียกอีกอย่างว่า “วิศวกรรมชีวเวช หรือ วิศวกรรมการแพทย์” เป็นสาขาวิชาที่นำเอาความรู้ทางด้าน “วิศวกรรมศาสตร์” และ “วิทยาศาสตร์การแพทย์” มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนาซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้จริง รวมถึงการศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อน และต้องการขั้นตอนการผลิตที่มีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพสูง ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายของงานด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ ได้แก่ การสร้างอวัยวะเทียม การประมวลภาพจากเครื่อง TC Scan และอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น

สาขาวิศวกรรมชีวการแพทย์เป็นสาขาวิชาที่บูรณาการศาสตร์ต่างๆ ทั้ง วิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เครื่องกล อิเล็กทรอนิกส์ นาโน วัสดุ หรือแม้แต่ความรู้ทางวิศวกรรมโยธาก็มีประโยชน์ในสาขานี้ รวมถึงความรู้ในสาขาแพทยศาสตร์ ชีววิทยา เคมี ชีวเคมี เภสัชศาสตร์ รังสีวิทยา เทคนิคการแพทย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ เพื่อนำความรู้เหล่านี้มาใช้เพื่อพัฒนาสร้างเครื่องมือ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเฉพาะ ถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญมาอาชีพหนึ่ง ที่สำคัญรายได้ดีจนติดอันดับท็อปเทนในปีนี้เลยทีเดียว

อันดับ 9 : วิศวกรรมอุตสาหการ (Industrial Engineering)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $61,400 ต่อปี หรือประมาณ 2,015,150 บาท

วิศวกรรมอุตสาหการ หรือที่นิยมเรียกว่า IE (Industrial Engineering) ศึกษาด้านการจัดการ การออกแบบอุตสาหกรรม กระบวนการผลิต การบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการควบคุมเครื่องจักรกลในกระบวนการผลิตสมัยใหม่ ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มกำไร และประสิทธิการในการทำงาน โดยใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมด้านต่างๆ มาบริหารโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หลักการ วิธีการทางด้านการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ทางวิศวกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ที่จบการศึกษาในสาขานี้จะเรียกว่า “วิศวกรอุตสาหการ” เป็นผู้ที่ต้องคอยวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงการใช้งาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับคน วัตถุดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ในองค์กร รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของวิศวฯ สาขานี้จะอยู่ที่ $61,400 ต่อปี หรือประมาณ 2,015,150 บาท

อันดับ 8 : วิศวกรรมโยธา (Civil Engineering)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $62,100 ต่อปี หรือประมาณ 2,038,124 บาท
“วิศวกรโยธา” คือบุคลที่วางแผน จัดระบบงานและควบคุมงานสร้างถนน สะพาน อุโมงค์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งต่างๆ ทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร ตลอดจน การติดตั้งการใช้ และการบำรุงรักษาระบบไฮดรอลิก และระบบสุขาภิบาล ทำการตรวจตรา และทดสอบทำงานวิจัยและให้คำแนะนำทางเทคนิคต่างๆ งานในทางด้านวิศวกรรมโยธานี้ จะเน้นทางด้านการใช้วัสดุและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การศึกษาทางด้านวิศวกรรมโยธานั้นนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน รวมไปถึงรายได้ที่ยังคงดีต่อเนื่องสม่ำเสมอของวิศวกรรมสาขานี้ เงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยต่อปีสูงถึง $62,100 ต่อปี หรือประมาณ 2,038,124 บาท แยกย่อยได้เป็นหลายสาขาอาชีพเช่น วิศวกรสำรวจ วิศวกรด้านโครงสร้าง  วิศวกรด้านควบคุมและออกแบบระบบจราจร และวิศวกรภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น

อันดับ 7 : วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical Engineering)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $62,300 ต่อปี หรือประมาณ 2,044,688 บาท

เป็นอีกหนึ่งสาขาวิศวกรรมที่มีสาขาย่อยที่กว้างมาก ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ “ไฟฟ้า และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” ถึงแม้ว่าวิศวกรรมไฟฟ้าจะประกอบไปด้วยสาขาย่อยมากมาย แต่ทุกสาขาจะมีความเกี่ยวพันร่วมกันคือในเรื่องของ “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” บางสาขาจะมีการใช้งานสมการของแมกซ์เวลล์โดยตรง ในการทำงานเกี่ยวกับคลื่นวิทยุ บางสาขาก็ทำงานเกี่ยวกับการผลิตและส่งถ่ายพลังงานไฟฟ้า บางสาขาเกี่ยวกับการวิเคราะห์และจัดการกับสัญญาณไฟฟ้า ทั้งนี้จะรวมถึงแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎี การประยุกต์ใช้งาน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐอเมริกาพบว่ามีวิศวกรไฟฟ้าและอิเลคโทรนิกส์ทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนมากทำงานในบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ การสื่อสาร หรืออิเลคโทรนิกส์ ซึ่งอุตสาหกรรมทางด้านนี้กำลังเติบโต ทำให้เกิดความต้องการวิศวกรที่มีคุณสมบัติด้านนี้เป็นจำนวนมาก จนทำให้เงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยของวิศวกรรมไฟฟ้ามีอัตราที่ค่อนข้างสูงจนติดอยู่ในอันดับที่ 7 คือ $62,300 ต่อปี หรือประมาณ 2,044,688 บาท

อันดับ 6 : วิศวกรรมเทคโนโลยี (Engineering Technology)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $63,000 ต่อปี หรือประมาณ 2,067,662 บาท

อันดับสองที่ใครก็พอจะเดาได้ว่าเป็นสาขาวิศวฯ ที่มีรายได้ค่อนข้างสูงอีกหนึ่งสาขา นั่นก็คือ “วิศวกรการบินและอวกาศ” เป็นสาขาวิศวกรรมเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการวิจัย ออกแบบ และวิเคราะห์โครงสร้างรูปร่างทางพลศาสตร์เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการบิน รวมทั้งการวางแผนและควบคุมการสร้าง การทดสอบหรือการซ่อมบำรุง ทั้งการออกแบบเครื่องบิน, ขีปนาวุธ, ยานอวกาศ และดาวเทียม เป็นต้น

วิศวกรการบินและอวกาศ จะต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ อาจชำนาญงานวิศวกรรมการบินด้านใดด้านหนึ่ง เช่น งานระบบขับเคลื่อน วัสดุและกรรมวิธี งานวางแผนและควบคุม งานระบบนักบินกลนำร่องอัตโนมัติ ซึ่งอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสาขางานที่ปฏิบัติ โดยเฉพาะในต่างประเทศงานสร้างเครื่องบินไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปต้องถือว่าแข่งขันกันสูงมาก ทำให้แต่ละประเทศต้องการคนที่มีศักยภาพในการทำงานมากด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่เรียนจบมาในสายวิศวกรรมการบินและอวกาศ จึงมีเงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูงมาก คือ $67,000 ต่อปี หรือประมาณ 2,198,942 บาท ครองอันดับ 2 ในปี 2014 นี้

อันดับ 1 : วิศวกรรมปิโตรเลียม (Petroleum Engineering)

ภาพประกอบทางอินเตอร์เนต

ค่าเฉลี่ยเงินเดือนเริ่มต้น : $95,300 ต่อปี หรือประมาณ 3,125,265 บาท
อันดับหนึ่งในสายวิศวกรรมศาสตร์ที่ทำรายได้สูงสุด เป็นสาขาอาชีพที่น่าสนใจและกำลังมาแรงในขณะนี้ก็คือ “วิศวกรปิโตรเลียม” หรือจะเรียกว่า “วิศวกรน้ำมัน” ก็ได้ ผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับ การเจาะและการผลิต น้ำมันหรือก๊าชธรรมชาติขึ้นมาจากแหล่งกักเก็บใต้ผิวดิน เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงหากต้องเป็นการทำงานนอกชายฝั่ง หรือทำงานบนแท่นขุดเจาะ เมื่อความเสี่ยงสูงและกำลังเป็นที่ต้องการมากในโลก จึงทำให้ผลการสำรวจรายได้ในสาขาวิศวกรรมปิโตรเลียมประจำปี 2014 มีรายได้เฉลี่ยจากเงินเดือนเริ่มต้นสูงถึง $95,300 ต่อปี หรือประมาณ 3,125,265 บาท

อุตสาหกรรมปิโตรเลียมนับเป็นวงการหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงแก่ผู้ทำงาน ไม่ว่าจะทำงานในภูมิภาคใดในโลก เนื่องจากปิโตรเลียมจะยังคงมีบทบาทในการเป็นทรัพยากรที่โลกต้องการอย่างมากและไม่มีที่สิ้นสุด “วิศวกรรมปิโตรเลียม” จึงเป็นสาขาอาชีพที่น่าสนใจแก่ผู้ที่มีความสามารถ ทั้งในเรื่องผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง และความมั่นคงในอาชีพการทำงานต่อไปในอนาคตอีกด้วย

ที่มา : www.naceweb.org/s06182014/top-paid-engineering-majors.aspx

มาส์คหน้าด้วยของใกล้ตัว-ผิวใส-ลดริ้วรอย-ไร้สิว ง่ายๆ

วิธีการมาสก์หน้า ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนเซอร์ที่เหมาะกับผิ ว ก่อนที่จะพอกหน้าให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ( ถ้าจะให้ผลดีอาจใช้ผ้าขนหนูชุบอุ่น ๆ นำมาวางบนหน้า ความร้อนจากผ้าขนหนูจะช่วยให้ส่วนผสมในมาสก์ซึมซับสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ) แล้วใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาด จากนั้นจึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวสดชื่น เช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ และตามด้วยครีมบำรุงผิวค่ะ คราวนี้ผิวคุณก็นุ่มละมุนสดชื่น และสดใส …ชัวร์

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย ใร้สิว

สิ่งที่ต้องเตรียม  1.ใบเตย 4-5 ใบหั่บเป็นชิ้นเล็กๆ    2.ไข่ไก่ 1 ฟอง

1.นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

2.แล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจนได้มาร์คพอกหน้าเป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย

3.พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น

ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น

สูตรรักษาฝ้า คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น

สูตรสาวหน้าใส

ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว

1.ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน

2.นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA นั่นแหละ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที

สูตรลดริ้วรอย

เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส

1. มาร์ค ว่านหางจระเข้

ตัดว่านหางจระเข้มาสัก 1 กาบไม่ต้องใหญ่มาก ปอกเปลือกออกให้หมดเอาแต่ส่วนของเนื้อใสมาใช้ นำเนื้อใสหรือวุ้นที่ได้มาปั่นเนียนละเอียดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น มีข้อควรระวังคือหากเป้นผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้และควรระวังยางสีเหลืองๆ ของว่าน สูตรนี้นอกจากจะสามารถลอกฝ้าได้แล้ว ยังมีผลในการช่วยบรรเทาสิวอักเสบ และลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย

2. น้ำมะนาว + นมผงของเด็ก

นำน้ำมะนาว + นมผงของเด็กและน้ำสะอาดอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมรวมกันให้ดี จากนั้นนำมาพอกที่ใบหน้าประมาณ 20 นาที พยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้าในช่วงนี้นักเพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใสขึ้นเนื่องจากการทำงานของกรดในมะนาวและมีความนุ่มชุ่มชื้นจากนมผงอยู่ด้วย

3. มะเขือเทศ

ใครอยากหน้าสวยใส แถมมีเลือดฝาดแดงระเรื่อเหมือนผิวเด็ก ต้องลองสูตรนี้เลย !วิธีทำ นำมะเขือเทศ 1 ลูกมาบดหรือปั่นพอแหลกหรือจะฝานเป็นชิ้นหนา ๆ แล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ วิตามินซีและกรดผลไม้ในมะเขือเทศ จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได้

4. น้ำผึ้ง+แตงกวา

สูตรนี้สำหรับผู้มีปัญหารูขุมขนกว้าง วิธีทำ ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับแตงกวา 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัดๆ หรือน้ำแช่น้ำแข็ง เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะเรียบเนียนขึ้นได้

5. โยเกิร์ต

นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย (อาจแช่ตู้เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่นในที่ขณะพอกหน้า) ทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส แลคติค และวิตามินบีที่อยู่ในโยเกิร์ตจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนรูขุมขนและบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่น เนียนสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นเคล็ดลับความขาวใสที่สาว ๆ สามารถทำใช้ได้ทุกวัน

6. มะขามเปียก น้ำผึ้ง และมะนาว

ใช้เนื้อมะขามเปียก 1 กำ แยกเอากากและเม็ดออก ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และ มะนาว 1 ช้อนชา ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำเอามาพอกหน้าไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ 2 ครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นได้

7. กล้วยหอม

ผลไม้สีเหลืองสดนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวหน้าสวยนุ่ม ชุ่มชื้น และสามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่างเลยทีเดียว เพียงนำกล้วยหอมสุกมาบดให้เป็นเนื้อละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เท่านี้ก็เตรียมอวดผิวสวย ๆ ให้คนอื่นอิจฉาได้เลย

8. ดินสอพอง

นำดินสอพองมาผสมน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อครีมข้น แล้วทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ 15-20 นาที ดินสอพองจะดูดซับความมันบนใบหน้า ดีท็อกซ์สารตกค้างที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้ผิวหน้าดูสวยเด้ง แถมยังช่วยป้องกันแสงแดดได้อีกด้วยนะ

9. น้ำส้มคั้น+นมสด

โดยนำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี แล้วจึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ถั่วไปหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ

10.  สูตรแตงกวา+ไข่ขาว

เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าที่มีความมัน และปัญหาเรื่องสิวมากๆ นำแตงกวา 1 ลูก ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

11. ขมิ้นและนมสด

ขมิ้นอยู่ในอันดับต้น ๆของ ตำราสมุนไพรที่ใช้บำรุงผิวพรรณของคนในสมัยก่อน เพราะขมิ้นจะช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวลผ่องใส สะอาดเกลี้ยงเกลา เพียงนำผงขมิ้น 1 ถ้วยผสมกับนมสด 3/4 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกลงบนผิวขณะอาบน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ทำเป็นประจำทุกวัน รับรองผิวขาวเนียนนุ่มสุด ๆ

สูตรกระชับรูขุมขน กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

เคลนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

ผิวเรียบเนียนด้วยกาแฟบด ก็บรรดา ครีมขจัดเซลลูไลต์ ที่ราคาแสนแพงน่ะ มีคาเฟอีนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นการขจัดเซลล์ไขมันและยังขัดผิวให้เรียบเนียน แต่อาจจะดูยุ่งยากกว่าการใช้ครีมกระปุกอยู่บ้าง จึงควรทำในห้องน้ำ และก่อนที่จะลงมือขัดผิวด้วยกาแฟอย่าลืมปูพื้นห้องน้ำด้วยกระดา ษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันท่อน้ำตันค่ะสูตรนี้ใช้กับผิวกายนะคะ ห้ามใช้กับผิวหน้าค่ะและในระหว่างที่ขัดผิว หากมีนวดไปด้วย จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นได้ค่ะ

พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (จากสเปน) ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบา ๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก

นำไข่ขาวมาตีให้ขึ้น แล้วเติมน้ำมะนาว และน้ำผึ้ง อย่างละ1 ช้อนชา นำมาชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้มือนวดเป็นวงกลมไปพร้อม ๆ กัน ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเช็ดออก จะช่วยทำความสะอาดผิว และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน

นอกจากนำมาทาหรือพอกหน้า เพื่อให้ผิวสดใส เปล่งปลั่งกันแล้ว ในวันหยุด ลองดื่ม ชาผสมน้ำผี้ง จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิวสดใส มีเลือดฝาด แต่ไม่ควรเทน้ำเดือดจัดๆ ลงในน้ำผึ้งนะคะ เพราะอาจทำให้สารที่มีประโยชน์ในน้ำผึ้ง สลายตัวได้ค่ะ

พอกหน้าด้วยแอ๊ปเปิ้ล (จากเบลเยี่ยม) ปอกแอ๊ปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก แล้วบดให้ละเอียดขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆล้างออก

พอกหน้าด้วยแตงโม (จากตุรกี) ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆจากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ นอนพักสักครู่ ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

พอกหน้าด้วยไข่ขาว (จากสวิตเซอร์แลนด์) ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออก เทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงนุ่มๆจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (จากฝรั่งเศส) ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่า แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (จากญี่ปุ่น) ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรดAHA จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได ้หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออก

พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (จากรัสเซีย) สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาทีหรือนานกว่านั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดออก ตำรับนี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน จะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้

การเลือกมาสก์พอกหน้าให้เหมาะกับผิวมัน คุณสามารถใช้มาสก์ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวมัน ควรมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมัน สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนได้ พร้อมกับช่วยกระชับรูขุมขน

ผิวแห้ง ควรมาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวแห้ง ควรมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย นำกล้วยบด 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อน ยีให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่ว ใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นจะทำให้ผิวหน้า ชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้งค่ะ

เคลนเซอร์น้ำผึ้ง ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโตีะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วขัดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา ซึ่งน้ำผึ้งจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และยังช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ

เคลนเซอร์จากโยเกิร์ต ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ กับเกลือป่น 2 ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ บริเวณผิวหน้า จะช่วยลดความมันและขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอ นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง

มาร์คพอกหน้าจากกล้วยผสมน้ำมันมะกอก กล้วยสุกยีให้ละเอียด เติมน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อครีมข้น นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมาะกับผิวแห้ง

มาร์คพอกหน้าสูตรไข่ผสมข้าวโอ๊ต ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที สูตรนี้เหมาะกับผิวมันค่ะ เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากใบหน้า และช่วยปรัปผิวให้สมดุลมากขึ้น

มาร์คพอกหน้าจากแตงกวา (เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม) ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอก ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้ากระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุ่มชื่น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

เครดิต :  vivian*  และ http://www.nanahealth.com

อาหารที่ไม่ควร “อุ่นซ้ำ” เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ

ปัจจุบันนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วทุกคนมักนำอาหารที่รับประทานไม่หมดไปแช่ตู้เย็น แล้วนำมาอุ่นร้อนก่อนรับประทานอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าอาหารบางชนิดอาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้

ข้อมูลจากสำนักงานมาตรฐานอาหาร เผยว่า การจะรับประทานให้ปลอดภัยจะต้องทำให้สุก สะอาด ปรุงแต่งน้อย และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ การปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทานเสมอ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย แต่การให้ความร้อนแก่อาหารมากกว่า 1 ครั้ง หรืออุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอาหารดังต่อไปนี้

1.คื่นช่ายหรือคื่นฉ่าย หากนำมาทำเป็นซุปเซเลอรีแล้วนำไปอุ่นซ้ำ จะทำให้สารไนเตรทที่อยู่ในคื่นช่ายกลายเป็นพิษเมื่อได้รับความร้อน

2.ไข่ต้มและไข่กวน อาหารที่มีไข่เป็นส่วนประกอบสามารถนำมาอุ่นซ้ำได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับไข่ต้มและไข่กวนที่ได้รับความร้อนซ้ำๆ จะทำให้โปรตีนในไข่เปลี่ยนสภาพ อาจส่งผลให้ผู้รับประทานไม่สบายได้

3.ผักโขม เช่นเดียวกับคื่นช่าย หากได้รับความร้อนซ้ำจะทำให้สารไนเตรทกลายเป็นพิษ ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

4.เห็ด เห็ดไม่มีพิษทุกชนิดสามารถนำมาประกอบอาหารได้ แต่ไม่ควรนำมาอุ่นซ้ำๆ เพราะจะทำให้สารอาหารประเภทโปรตีนในเห็ดเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดอันตรายต่อกระเพาะอาหาร

5.มันฝรั่ง หลังจากทำให้สุก แล้วตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือเก็บในตู้เย็น สภาวะเช่นนี้เป็นผลบวกต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโบทูลินัม หากได้รับความร้อนซ้ำก็จะทำให้เกิดเป็นพิษได้

6.เนื้อไก่ การนำเนื้อไก่สุกแช่เย็นไปให้ความร้อนซ้ำ จะทำให้โปรตีนที่ซับซ้อนในเนื้อไก่แปรสภาพ อาจทำให้บางคนที่รับประทานเข้าไปเกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหาร

7.บีทรูท ผักสีม่วงสวยนี้ประกอบไปด้วยสารประเภทไนเตรท หากได้รับความร้อนจะทำให้เกิดเป็นพิษกับผู้ที่รับประทาน จึงควรที่จะทำให้สุกแล้วรับประทานแบบเย็นๆ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงต่ออาการปวดท้อง

8.ข้าว สำหรับข้าวนั้น อันที่จริงแล้วการอุ่นข้าวไม่ได้ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษโดยตรง แต่มันขึ้นอยู่กับการเก็บข้าวสารว่าสะอาดปลอดภัยหรือไม่ หากข้าวสารมีสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย เมื่อหุงสุกแล้วเชื้อก็ยังไม่ตาย และจะสามารถเจริญเติบโตได้ถ้าถูกทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง เมื่อนำไปอุ่นซ้ำก็จะก่อเกิดสารพิษที่ทำให้อาเจียนหรือท้องเสียได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจึงไม่ควรวางข้าวสุกที่ทานไม่หมดทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง

———-ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.khaoza.net/2015/09/8.html

ผักกะสัง….ผักไม่มีราคาแต่คุณค่าสูง

ผักกะสัง ถือว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า ผักกะสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือมะนาว ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๒๐ มิลลิกรัม ส่วนผักกะสังมีอยู่ ๑๘ มิลลิกรัม รวมทั้งทางสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ พบว่าผักกะสัง ๑ ขีด หรือ ๑๐๐ กรัม มีเบต้าแคโรทีน ราว ๒๘๕ ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล การที่ผักกะสังมีธาตุอาหารต้านมะเร็งอยู่สูงขนาดนี้ ผักกะสังจึงจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง

“ยำผักกะสัง” โด่งดังขึ้นจากการที่หมู่บ้านดงบังต้องการให้คนเข้าไปชมวิถีการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ จึงได้พัฒนาตนเองเพื่อเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ได้มีการค้นหาเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว แม่บ้านของชุมชนนี้ทำอาหารอร่อยมาก เช่น แกงบอน แกงปลาดุกใส่ไพลดำ ยำผักกะสังและตำรับอาหารอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเปิดตลาดออกไปอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือยำผักกะสัง มีสื่อมวลชนมากมายไปชิมและนำสูตรมาเผยแพร่ ปัจจุบันสูตร “ยำผักกะสัง” ของหมู่บ้านดงบังเป็นที่รู้จักกันดี ไม่มีการจดสิทธิบัตร ใครจะเชื่อว่าผักกระสังเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ แต่ได้นำมาปลูกในประเทศที่มีอากาศร้อนทั่วๆ ไปรวมทั้งประเทศไทย แต่เราลืมมันไปจากกลไกผักตลาดที่ผลิตแบบเคมี ต้องขอบคุณชาวบ้านดงบังที่ทำให้ผักกระสัง กลับมาสู่สังคม

ผักกะสัง…รักษาโรคลักปิดลักเปิด
ในตำรายาไทยระบุไว้ว่าใบของผักกะสังใช้ในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า ในผักกะสังมีวิตามินซีและสารอาหารสูง ซึ่งการรักษานั้นใช้ทั้งการกินและการบดต้นแปะบริเวณที่เลือดออกตามไรฟัน

ผักกะสัง…รักษา เริม ฝี มะเร็งเต้านม
หมอยาพื้นบ้านของไทยใช้ผักกะสังเป็นยาไม่มากนักส่วนใหญ่ใช้พอกฝีและสิวโดยใช้ต้นสดตำพอกฝี หรือใช้น้ำคั้นทาสิว ในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น

“ผักกะสังรักษาเริมและมะเร็งเต้านม” ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ (มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกะสังเป็นยารักษาเริม มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกะสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ ๑ คืน และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกะสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า สารในผักกะสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวด

ผักกะสัง…แก้อักเสบ ข้ออักเสบ เก๊าท์
หมอยาพื้นบ้านบางคนบอกว่ากินผักกะสังแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์มีการกินผักกะสังสดๆ หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าท์และข้ออักเสบ โดยนำผักกะสังต้นยาวสัก ๒๐ เซนติเมตร ต้มกับน้ำ ๒ แก้ว ให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น ปัจจุบันผักกะสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเก๊าท์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริคในกระแสเลือด

ผักกะสัง…บำรุงผิว บำรุงผม
ผักกะสังยังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว สาวๆ สมัยก่อนยังใช้น้ำต้มผักกะสังล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้าสดใส และนอกจากนี้ คุณสารีป๊ะ อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา บอกว่าผักกะสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม ซึ่งอธิบายได้ว่าผักกะสังมีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย

ข้อควรระวัง
ในผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน

สูตรยำผักกะสัง

ยำผักกะสัง ทำได้ง่ายๆ หั่นผักชิ้นพอประมาณ ๑-๒ ทัพพี น้ำมะนาว ๑-๒ ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้ง ๑-๒ ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแห้งทอดพอประมาณ มะม่วงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หัวหอมซอยพอประมาณ แครอทซอยฝอยๆ ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ถั่วลิสงคั่วพอประมาณ ขิงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หมูหยอง พอประมาณ โหระพา สะระแหน่ ไว้แต่งรส น้ำปลา ๑-๒ ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ จากนั้นรวมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงรสตามใจชอบ พร้อมตักเสิร์ฟได้เลย

ข้อมูลจาก http://www.khaoza.net/2015/09/blog-post_30.html

ลดน้ำหนัก….ด้วยเม็ดแมงลัก

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่น และใบจะ มีสีเขียวอ่อนกว่า แมงลักมีชื่อเรียกตาม ท้องถิ่นว่า มังลัก (ภาคกลาง) ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ) ลำต้นสูงประมาณ 65 เซนติ เมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาวและร่วงง่าย ดอกจะออกรอบก้าน ช่อดอกจะออกเรียงเป็นชั้นๆ ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียว กับกะเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกง ต่างๆ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ แกงเลียง ถ้าไม่มีใบแมงลักจะไม่มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงตามสูตรโบราณ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้ การลดน้ำหนัก ด้วยเม็ดแมงลัก เป็นสูตรลดน้ำหนักที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วว่า การกินเม็ดแมงลักแช่น้ำให้พองๆ แทนมื้ออาหารจะทำให้ลดน้ำหนักได้  ซึ่งสูตรลดน้ำหนักนี้เชื่อว่าสาวๆหลายคนคงต้องเคยลองมาบ้างแล้วค่ะ

mangluk1
mangluk1

เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้ โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เม็ดแมงลักประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ และสารประกอบอื่นๆ บริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวได้ 45 เท่า และได้ มีการวิจัยพบว่าเม็ดแมงลักมีสรรพคุณเป็น ยาระบาย เพิ่มกากอาหารได้ และเมือกยังสามารถช่วยหล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น

วิธีรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน

ใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ถ้าใช้เป็นยาระบายให้ทานก่อนนอน ถ้าเป็นยาลดความอ้วนให้ทานก่อนอาหารหรือ ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ เพราะอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้แต่ข้อเสียการรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง หรือถ้ารับประทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังไม่พองเต็มที่ ก็จะมีการดูดน้ำจาก กระเพาะอาหารได้ ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็งและอุดตันลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้มากขึ้นค่ะ

——————————————————- ที่มา: http://women.kapook.com/health00132/

แอปเปิ้ลต่างสี…ประโยชน์ดีต่างกัน

apple
apple

แอปเปิ้ลที่เราเห็นตามท้องตลาดนั้น มีทั้งชนิดที่เปลือกสีแดง สีชมพู สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งสีที่แตกต่างกันนั้นก็บ่งบอกได้ถึงสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป ถึงแม้เปลือกด้านนอกจะมีสีไม่เหมือนกันแต่เนื้อข้างในนั้นเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวลเหมือนกัน ซึ่งแอปเปิ้ลแต่ละสีก็จะมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

แอปเปิ้ลสีแดง

มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีสารอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

แอปเปิ้ลสีชมพู
มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

แอปเปิ้ลสีเขียว
มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดีอีกด้วย

เมื่อรับประทานแอปเปิ้ลโดยไม่ปอกเปลือก 1 ผล เราจะได้รับพลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ มีวิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม และวิตามินซีมากถึง 7.9 มิลลิกรัม นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีน และเส้นใยไฟเบอร์ ช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล (การกินแอปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ โดยแอปเปิ้ลลดคอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย) ในทางกลับกันถ้าเราปอกเปลือกปริมาณสารอาหารดังกล่าวในแอปเปิ้ลก็จะลดลงไปด้วย

นอกจากนั้น แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากแอปเปิ้ล 1 ผล มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลกว่า 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่ต้องเป็นแอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ และการดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิวแต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย

เห็นคุณค่า คุณประโยชน์หลายหลายของแอปเปิ้ลแต่ละสีกันแล้ว หลายคนคงอยากรีบไปกินแอปเปิ้ลโดยพลัน ซึ่งวิธีการกินแอปเปิ้ลให้ได้ประโยชน์นั้น หลายคนมักเข้าใจว่า ควรจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลออกก่อนกิน แต่จริงๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด เพราะจะทำให้คุณค่าจากสารอาหารที่จะได้รับจากผลไม้ชนิดนี้ลดลง และที่สำคัญอย่าลืมล้างน้ำให้สะอาดก่อนกินทุกครั้งด้วย

————ข้อมูลจากhttp://www.manager.co.th

วิธีการใช้ชีวิตให้มีความสุข

ขอนำเสนอวิธีการดีๆ ที่สามารถช่วยให้คุณจัดการกับชีวิตและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มาดูกันว่าวิธีการที่ว่านั้น มีอะไรบ้าง และจะช่วยให้ชีวิตคุณสงบสุขได้อย่างไร ตามมาดูกันเลย

images
images

1. กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน

การกำหนดระยะเวลานี้ จะช่วยให้คุณสามารถแบ่งเวลาให้มีความเหมาะสมและลงตัวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องการเรียน หรือเรื่องใด ๆ ก็ตามแต่ การจัดสรรเวลาจะมีประโยชน์อย่างมาก ที่สำคัญเมื่อคุณแบ่งเวลาได้แล้ว ก็จะทำให้คุณไม่รู้สึกกังวล หรือเกิดความครียดใด ๆ ขึ้นเลย

2. หาวิธีให้ร่างกายได้พักผ่อน
การพักผ่อนถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายจากหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบได้มากเลยทีเดียว ลองหากิจกรรมที่คุณชอบและถนัด เช่น ไปออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เล่นโยคะ ฯลฯ เหล่านี้จะช่วยได้มากเลยค่ะ
3. อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เรื่องเล็กน้อยยิบย่อยก็ไม่ควรนำมาใส่ใจแต่อย่างใด ปล่อยวางไปซะบ้าง ไม่อย่างนั้น จะทำให้เกิดความเครียดตามมา ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณอย่างยิ่ง
4.  ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
บางครั้งการรีบร้อนมากเกินไป อาจไม่ส่งผลดีเท่าที่ควร ดังนั้นควรลดสปีดลงสักหน่อย ค่อยๆ พิจารณา เพื่อให้เกิดความรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คุณสามารถจัดการงานต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น
5. เก็บกวาดข้าวของซะบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือที่บ้าน หากคุณมีสิ่งของที่วางระเกะระกะ กระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ควรที่จะทำการปัดกวาด เช็ดถู เก็บข้าวของนั้นๆ โดยเร็ว เพราะเมื่อคุณเก็บกวาดเสร็จแล้ว จะทำให้คุณมีความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น จะหยิบจับอะไรก็สะดวก

6. ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานซะบ้าง
ถ้ามัวแต่จมปลักอยู่กับเรื่องเครียดมากๆ จนเกินไป คุณจะมีแต่แย่ ดังนั้นแล้ว อะไรก็ตามที่สามารถสร้างความบันเทิงให้กับคุณได้หามาทำเลยค่ะ

7.หลีกหนีจากโลกแห่งความวุ่นวาย
หากงานที่ทำมีความยุ่งยาก ซับซ้อนกับชีวิตมากง ก็ขอให้รีบๆ เคลียร์งานนั้นๆ แล้วหาเวลาออกไปพักผ่อน จะไปเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือนอนหลับ ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจเช่นกัน

8. ตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่
ประเภทที่ว่าชอบทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ถ้าเราไม่มีความชำนาญพอก็ขอให้เลิกทำแบบนั้น เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่มีสมาธิกับสิ่งใดเลย เผลอ ๆ อาจจะทำให้งานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ แถมยังส่งผลให้สภาพจิตใจย่ำแย่หนักไปกว่าเดิมอีกต่างหาก

9.  จัดการกับปัญหาที่เข้ามาในชีวิต
ขอให้จำเอาไว้เสมอว่า “ทุกปัญหา ย่อมมีทางออก” ไม่ว่าปัญหานั้นจะรุนแรงต่อสภาพจิตใจมากน้อยขนาดไหน ก็ขอให้ใจเย็นๆ คิดอย่างรอบคอบ ค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละขั้น หรืออาจจะปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์ด้วยก็ได้จะสามารถช่วยแก้ปัญหานั้นๆ ได้มากเลยทีเดียว

————————————

ขอบขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.dmc.tv

เคล็ดลับการออม

images
images

1. เงินออมต้องมาก่อน

เงินเดือนคลอดเมื่อไหร่ ไม่ใช่เอาไปถลุงเสียหมด ต้องรู้จักเก็บบ้างอะไรบ้าง จัดการปันส่วนรายรับกับรายจ่ายให้ดี โดยต้องมีเก็บทุกเดือนอย่างน้อย 10% ของรายได้รวม

2. อย่าดูถูกเศษเงิน

เงินเหรียญ หรือแบงค์ย่อย 20  30 บาท อาจดูเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่หากทบกันหลายๆ เดือนก็อาจกลายเป็นเงินจำนวนไม่น้อยได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งส่วนนี้นอกจากจะทำให้มีเงินออมมากขึ้นแล้ว ยังเอามาใช้เป็นเงินสำรองยามฉุกเฉินได้อีกต่างหาก

3. รู้จักต่อรองกับเจ้าหนี้

แน่นอนว่าการจ่ายครบ จ่ายเต็ม จ่ายตรงเวลา ย่อมสร้างเครดิตสวยหรูให้กับตัวเอง แต่จะดีกว่าไหมถ้าจะสามารถจ่ายหนี้ และ ออมเงิน ไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นลองต่อรองกับบรรดาเจ้าหนี้ดู ถ้าคุณเป็นลูกหนี้ชั้นดี พวกเขาน่าจะยอมอะลุ่มอล่วยให้บ้างล่ะน่า

4. หารายได้เสริมทำยามว่าง

เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง การนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคงไม่ทำให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นได้ งานพิเศษอาจฟังดูหนักหนาเกินไปสำหรับบางคน แต่หากรู้จักหยิบจับสิ่งใกล้ตัวมาสร้างรายได้ อย่าง รับจ้างตัดกิ่งไม้ข้างบ้าน รับเลี้ยงเด็กให้ข้างบ้าน นิดๆ หน่อยๆ บ่อยๆ เข้าก็สร้างรายรับงามๆ ได้ไม่หยอก แต่อย่ามัวแต่มุ่ง ออมเงิน จนเห็นอะไรก็มาคิดเป็นเงินเป็นทองเสียหมดล่ะ เดี๋ยวใครๆ เขาไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วจะหาว่าเราไม่เตือน

5. รู้จักลงทุน

อาจข้องใจว่า เงินน้อยแล้วจะไปลงทุนอะไรได้ แต่หากทำการศึกษาดีๆ แล้วจะพบว่าทุกวันนี้มีบ่อน้ำน้อยใหญ่ให้เราตักตวงมากมาย หลากหลายรูปแบบ หากคุณมีเงินเย็นๆ สักก้อน อยากจะลองมาหย่อนไว้ก็น่าจะโอ แต่ทั้งนี้ต้องศึกษาถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้ด้วย ว่าคุณรับได้มากน้อยแค่ไหนกัน ลองทำตามสัก 3 ข้อ เราก็จะมีเงินออมแล้วล่ะค่ะ  เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ ทำนาน ๆ รับรองมีเงินออมแน่นอนค่ะ —————————

น้ำมะพร้าวอ่อน

น้ำมะพร้าวอ่อนเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ น้ำเกลือแร่จากธรรมชาติ (mineral water)

น้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูงประกอบด้วยโพแทสเซียม  รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจาก อาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็น “สปอร์ต ดริ๊งค์” สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย และยังมีคุณสมบัติ ปลอดเชื้อโรค เป็นสารละลาย ไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ) สามารถลดอาการขาดน้ำได้ดี ลดอาการเมาหลังดื่มแอลกอฮอร์

  • การดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นประจำยัง ช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เนื่องจากกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี
  • มีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง
  • ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายจึงช่วย  ให้ผิวพรรณ ผ่องใส
  • สำหรับสตรีวัยทอง หรือกำลังเข้าสู่วัยทอง ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน สัปดาห์ละ 2-3 ลูก จะช่วยทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสมดุล ทำให้แก่ช้าลง และไม่ต้องทานฮอร์โมนเสริม

ข้อดีของน้ำมะพร้าวอ่อน…

  • ช่วยลดอาการก่อนมีรอบเดือน ของสตรีวัยเจริญพันธุ์เช่นอาการปวดศีรษะ  ปวดท้องน้อย
  • ถ้าทานน้ำมะพร้าว พร้อมกับเนื้อ ร่างกายจะได้ทั้งเอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเรียบเนียน แลดูสุขภาพผิวดีขึ้น  เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่เป็นสิว
  • ช่วยตับทำลาย “เอสโทรน” (estrone) ซึ่งเป็นสารที่ถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ให้กลายเป็นสาร  “เอสไทรออล” (estriol) ซึ่งถือว่าเป็นรูปเอสโตรเจนที่ปลอดภัยที่สุด  คนที่รับประทานน้ำมะพร้าวอ่อนสามารถป้องกันมะเร็งเต้านมได้  เพราะทานน้ำมะพร้าวอ่อนจะช่วยรักษาสมดุลเอสโตรเจนได้
  • ลดอาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืนในสตรีวัยหมดประจำเดือน
  • นอกจากนี้  น้ำมะพร้าวยังเอาไว้ล้างหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งได้เนื่องจาก น้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยเกลือแร่ และยังเป็นกรดอ่อนๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้สดใสอยู่เสมอ
  • สำหรับสาวๆ ที่ชอบสปา  อาบน้ำแร่  หันมาอาบน้ำมะพร้าวก็ได้นะ เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมน แถมยังซึมเข้าสู่ผิวได้ดีอีกด้วย  อาบบ่อยๆผิวพรรณจะเต่งตึง สวยเหมือนสาวยุค 2010

ข้อควรระวัง…
สำหรับวัยรุ่น  ถ้าจะทานน้ำมะพร้าวอ่อน ไม่ควร รับประทานขณะมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้มีไข้เนื่องจากน้ำมะพร้าว  เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง     และจะทำให้ประจำเดือนมานานวันเพิ่มขึ้น  ควรงดก่อนมีประจำเดือนสัก 5 วันนะครับ

….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/388240

….. อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/388240

อย่าทำ…ถ้าอยากมีรักที่ยาวนาน

images
images

1. อย่าจน

ไม่จำเป็นต้องเข้าขั้นเศรษฐี เพียงแต่คุณต้องมีการงานเป็นหลักแหล่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าขี้เกียจที่จะทำงานและเก็บเงิน เพราะเงินเก็บก็นับเป็นสิ่งสำคัญ เผื่อคู่รักเกิดประสบปัญหา ทางออกสำรองก็ยังพอมี จะได้ไม่เดือดร้อนจนกระทบกระทบเทือนถึงญาติมิตร ถ้ากล่าวกันแบบโหดร้าย ใครๆ ก็อยากจะหลุดพ้นจากสภาพความจนด้วยกันทั้งนั้น เพราะรักทางไกลยังไงๆ ก็ต้องใช้เงิน ไม่ผิดที่สิ่งนี้ มักมีผลต่อการตัดสินใจของบรรดาคู่รักทั้งหลาย

2. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่น

คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ดังนั้น การปรับตัวจึงเป็นเรื่องใหญ่ ชีวิตคู่ คือ การเรียนรู้เพื่อที่จะทำความเข้าใจโลกใบอื่นมากกว่าโลกของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย ถ้าอีกฝ่ายทำอะไรให้คุณไม่สบายใจ ชนิดรับไม่ได้จริงๆ ก็ลองบอกสิ่งนั้นให้เขาฟังตรงๆ โดยพยายามอย่าใช้น้ำเสียงโมโห เพราะถ้าหากปรับตัวไม่ได้ อย่างนั้นการอยู่คนเดียวไม่สบายใจกว่าหรอกหรือ?

3. อย่าพูดโกหก

ยิ่งโกหกบ่อยๆ ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันก็จะค่อยๆ ลดน้อยถอยลง และไม่มีวันจะเรียกคืนกลับมาได้อีก ถ้าทำผิด อย่าลังเลที่จะขอโทษขออภัย ในเมื่อคุณเคยพูดคำว่ารัก คำว่าคิดถึงได้ ทำไมจะพูดคำว่า “ขอโทษ” บ้างไม่ได้ เมื่อไหร่ที่คุณเป็นฝ่ายทำความผิด

4. อย่าวางอำนาจ

คนทุกคนอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่า แต่ปรากฏว่า มักถูกอีกฝ่ายวางอำนาจ พยายามแสดงความคิดเห็นให้ตนอยู่เหนือกว่า หรือวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้ชีวิตรักมักอายุสั้นกว่าเวลาอันควร

5. อย่านอกใจ

เมื่อคุณเป็นผู้ที่อีกฝ่ายได้เลือกแล้ว ฉะนั้น อย่าทำเหมือนว่าเขาคือ ของตาย  หรือยิ่งกว่านั้นก็คือ การทำร้ายเขาด้วยการนอกใจ แอบไปมีกิ๊กเพื่อสร้างความคึกคัก ความรู้สึกที่อีกฝ่ายจับไม่ได้ก็ยิ่งได้ใจไปกันใหญ่ รู้สึกว่าตนนั้นเข้าขั้นไม่ธรรมดา บริหารเสน่ห์ในทางที่ผิด จงระวังไว้ หากอีกฝ่ายทำบ้าง อย่าเผลอไปโกรธเขาเข้าให้ล่ะ

6. อย่าใช้ความรุนแรงต่อกัน

ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ หรือคำพูดที่ไม่ดี ไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้หน้า พูดจาซ้ำเติม ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้ จะทำร้ายจิตใจสะสม พาลส่งผลไปถึงร่างกาย และยากที่จะให้ความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน

7. อย่าเอาเขาไปเทียบกับใคร

การถูกนำไปเปรียบเทียบไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะมักสร้างความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าให้กับอีกฝ่าย ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ บางครั้งคุณอาจคิดว่า เป็นเรื่องเล็กๆ ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แต่สำหรับคนรัก มันคือการถูกทำร้ายจากคนที่เขาไว้ใจ ยิ่งการถูกทำร้ายความรู้สึกกันซึ่งๆ หน้า หรือต่อหน้าคนอื่น ที่นำไปสู่การเสียหน้า จนรู้สึกว่าอีกฝ่ายขาดความเป็นสุภาพบุรุษ(สุภาพสตรี)

8. อย่าเห็นแก่ตัวเรื่องบนเตียง

ปัญหาชีวิตคู่นอกจากความไม่ลงรอยทางความคิดแล้ว “เซ็กซ์” คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาทางด้านความสัมพันธ์ตามมาได้เช่นกัน ซึ่งการมีอะไรกันนั้น ผู้หญิงมักบอกรักด้วยภาษากายผ่านอวัยวะ นั่นก็คือ ผู้หญิงต้องการให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเล้าโลมเธอก่อน แต่ผู้ชายส่วนใหญ่มักใจร้อน กระทั่งเธออาจไม่เคยได้รับความสุข หรือ “ไปถึงจุดสุดยอด” ได้เลย ทางที่ดี ฝ่ายชายอย่าเห็นแก่ตัวเรื่องบนเรื่อง หรือใช้เซ็กซ์เป็นแค่เรื่องระบายความเครียดแล้วจบๆ กันไป แต่ควรมีการแสดงออกถึงความรักต่อคนรักด้วย…จะดีที่สุด

————-ข้อมูลจาก http://www.bigza.com/news-138389