ช้างเผือก หรือสาวงาม ก็ล้วนงามตา

โบราณว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง

สาวลาวบนปก นิตยสารมหาชน (Mahason Magazine) ของลาว ก็งามเพราะแต่ง

สาวลาวในปีใหม่ลาว 2556
สาวลาวในปีใหม่ลาว 2556 #158

http://www.facebook.com/mahasonmagazine

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151362502959149&set=a.10151362502159149.1073741831.104039739148

http://www.thailandmagazinedirectory.com/LAO-MAGAZINES-DIRECTORY/MAHASON-MAGAZINE-LAO.html

คนลาวก็มีวัฒนธรรมดั่งเดิมไม่ต่างกันคนไทยมากนัก
คนลาวก็มีวัฒนธรรมดั่งเดิมไม่ต่างกันคนไทยมากนัก #158

heraine honey ในนิตยสารฉบับ 134
heraine honey ในนิตยสารฉบับ 134

Heraine Honey Mahason Magazine Issue #134

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10150649667474149&set=a.10150649666834149.389696.104039739148

สิ่งมีชีวิตที่มีสีสันแปลกไปจากเดิม .. เราก็มักจะให้ความสนใจ


ช้างที่สีดำ พอจับทาสีขาวหรือชมพู .. ก็ดูดีและถูกชื่นชม
เจ้าของช้างรู้ว่า ถ้าทาสีช้างแล้ว จะทำให้ผู้ชมการแสดงช้างมีความสุข
เจ้าของช้างก็ต้องทำ .. เพราะทำแล้วมีผู้ชม และให้อาหารช้าง

ช้างแต่งตัว ทาสี แล้วก็ดูดี บ้างก็เรียกว่าช้างเผือก
ช้างแต่งตัว ทาสี แล้วก็ดูดี บ้างก็เรียกว่าช้างเผือก

9 เม.ย.56 ผมพบช้างเผือก 3 เชือก
เดินแถวศาลากลางเก่าจังหวัดลำปาง
ซึ่งก่อนหน้านี้ในหนังสือพิมพ์พูดถึงช้างจากสุรินทร์
แต่เป็นข่าว และเรื่องราวที่แตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง
http://qq.seedang.com/stories/48099

ข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพ

วันนี้เรานำความรู้มาบอกถึงข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพของคุณมาบอกค่ะ เพราะปัจจุบันนิยมดื่มกาแฟกันอย่างแพร่หลาย   วันนี้เราได้นำข้อดี ข้อเสียของกาแฟที่มีต่อสุขภาพมาให้ทุกๆ ได้อ่านกันค่ะ

กาแฟร้อน
กาแฟร้อน

เริ่มจากผลดีกันก่อนเลยค่ะ
ผลที่มีต่อถุงน้ำดี จากการที่ทำการวิจัยโดยอาสาสมัครชาย 45,000คน ดื่มกาแฟวันละสองแก้วต่อวัน จะสามารถลดการเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ถึง 40% และถ้าดื่มวันละ สี่แก้วสามารถลดได้ถึง 45% เลยทีเดียว โดยกาแฟที่ดื่มเข้าไปนั้นจะเข้าไปป้องกันการตกตะกอนของคลอเรสเตอรอล ลดการดูดซึมของเหลวเพิ่ม การไหลของน้ำดีที่กรวยไต ซึ่งทั้งหมดเป็นสาเหตุของการยับยั้งการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

ลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดิื่มกาแฟวันละสี่แก้ว จะสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 24% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลย เพราะกาแฟจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ผลิตสารที่มีผลยับยั้งการก่อตัวของเนื้อเยื่อที่กลายพันธุ์จากเซลล์ธรรมดากลายไปเป็นเซลล์มะเร็์ง และในกาแฟยังสามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งอีกด้วย

บรรเทาอาการปวดศีรษะ สารคาเฟอีนมีส่วนสำคัญที่สามรถบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้ แต่สารคาเฟอีนในกาแฟเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะยับยั้งอาการปวดหัวได้ แต่ถ้าคุณรับประทานพร้อมกับยาแก้ปวด ก็จะมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็วขึ้น

มาพูดถึงข้อสียกันบ้างนะค่ะ
เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อต่างๆ และระบบประสาทส่วนกลาง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีนถ้าร่างกายไดรับคาเฟอีนจำนวนสูงประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัมจะทำให้ตายในระยะเวลาอันสั้นได้

ถ้าเราดื่มกาแฟประมาณ 1/2-2 1/2 ถ้วย จะกระตุ้นประสาทให้ตื่น ลดความเหนื่อยล้าได้ประมาณครึ่งวัน หรือดื่มกาแฟขนาด3-7 ถ้วย ทำให้มือสั่น กระวนกระวาย โกรธง่ายและปวดศีรษะ มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือด คือทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือดคลายตัวหรือบีบรัดมากขึ้น
เป็นบางแห่ง กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ อาจเพิ่มหรือลดอัตราการเต้นของหัวใจ อันตรายแก่ผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ดื่มกาแฟมากๆ จะทำให้ กล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นหย่อมๆ
คาเฟอีนยังมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กรดไขมันอิสระสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีไขมันในเลือดสูง ฤทธิ์ของคาเฟอีนเพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะจึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตไม่ทำงาน

จะเห็นได้ว่ากาแฟนั้นมีทั้งผลดีและผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้ามก็อาจดื่มเป็นประจำทุกวันได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

http://i-lovecoffee.blogspot.com/2009/03/blog-post_9017.html

เคล็ดลับ..เรียนเก่ง

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคน หัวไม่ดี แต่เรียนเก่ง? ตัวเราเองก็พอฟัดพอเหวี่ยงกะเพื่อนคนนี้ แต่เขามักจะได้คะแนนสอบ หรือเกรดดีกว่าเราเสมอๆ มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในกอไผ่? วันนี้นายติวฟรีจะมาแฉให้หมดเปลือกเลยว่า ความลับนั้นคืออะไร ด้วยเทคนิคสั้นๆ 7 ข้อนี้ เกิดมาหัวไม่ดีก็สามารถเรียนเก่งได้ หากเราปฎิบัติตามเคล็ดลับสั้นๆ 7 วิธีนี้ เรียนเก่งได้ไม่ยาก เกรดดีๆอยู่แค่เอื้อมแล้ว

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. นอนให้เพียงพอ
เป็นการเริ่มต้นข้อแรกสำหรับวิธีเรียนเก่งที่เรานำมาแนะนำกันวันนี้ เราต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง/วัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้ว่าหากเราต้องตื่นตอนเช้าต้องเข้าโมงไม่เกินกี่โมง แต่ทั่วๆ ไปโดยเฉลี่ยแล้วจะไม่เกิน 5 ทุ่ม เพราะหากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองไม่โลดแล่นและหากเราเข้านอนและตื่นตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชินและไม่อ่อนเพลีย สมองสามารถทำงานได้เต็มที่ ส่วนอีกอย่างก็สำคัญมาก ๆ ก็คือ ต้องทานอาหารเช้าทุกวัน เพื่อร่างกายจะได้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน

2. การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในห้องเรียน
แนะนำว่าใหเลือกที่นั่งด้านหน้าและใกล้คุณครูให้มากที่สุดเป็นดีเพราะหากเรานั่งด้านหลังอาจจะโดนเพื่อน ๆชวนคุย รบกวนสมาธิได้ หรือ หาก นั่งข้างหน้าต่าง หรือ ข้างประตู อาจทำให้เราสนใจสิ่งต่าง ๆด้านนอกมากกว่าบทเรียนในห้องเรียน และหากมีข้อสงสัย “อย่าอาย” ที่จะถามอาจารย์ เพื่อที่จะได้คำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้ได้อย่างถูกต้อง

3. ตาดู หูฟัง มือเขียน
กล่าวคืออันดับแรกเราต้องมีสมาธิในการฟังเสียก่อน หลังจากนั้นก็ทำความเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด เสร็จแล้วก็จดสิ่งที่เราเข้าใจลงไปในสมุด กันลืม แต่ไม่ควรฟังไปเขียนไป เพราะเราจะไม่มีเวลาทำความเข้าใจ และไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราจดมานั้นหมายความว่าอย่างไรวิธีเรียนเก่งวิธีนี้ ได้ผลแน่นอน รับรอง

4. การเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงต่อไป
เป็นวิธีเรียนเก่งที่ได้มาจากเจ้าของเกียตนิยมอันดับหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ อันดับแรก ในจดโน้ตหัวข้อที่เรายังไม่เข้าใจในคาบนี้เก็บไว้ถามอาจารย์ในคาบหน้า เสร็จแล้วเขียนเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้างเผื่อที่จะสามารถกลับไปทบทวนบทเรียนที่เรียนมาในวันนี้ที่บ้านได้ และต้องตัดความไม่สบายใจ หรือ เรื่องที่ค้างคาใจในชั่วโมงก่อนหน้านี้ให้หมด

5.จุดประสงค์ของหลักสูตร
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าหลักสูตรในชั่วเรียนนั้น ๆ มีจุดประสงค์เพื่ออะไรเราจะได้รู้ว่าเราควรเรียนอะไร เพื่อนบรรลุจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น ๆ

6. จับประเด็น
ควรสังเกตว่าอาจารย์เน้น หรือย้ำคำไหนเป็นพิเศษ ตรงไหนที่อาจารย์ย้ำมากกว่าหนึ่งรอบ และหัวข้อไหนที่อาจารย์บอกว่าจะออกสอบให้บันทึกไว้เพื่อจะได้กลับเป็นทบทวนเป็นพิเศษและอย่าลืมสังเกตแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาทำที่บ้าน เพราะนั่นก็คือแนวข้อสอบเช่นกัน

7. อย่ามีอคติกับผู้สอน
เพราะจะทำให้ เราไม่อยากเรียนวิชานั้น ๆ จะรู้สึกว่าการเรียนในชั่วโมงนั้นน่าเบื่อหน่าย ซึ่งจะทำให้มีผลต่อคะแนน และความเข้าใจของเราเอง เราควรปรับใจเพื่อทำให้การเรียนของเราออกมาสมบูรณ์ที่สุด

http://www.tewfree.com/7-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87/

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์..ไวต่อสารก่อมะเร็ง

สถาบันมะเร็งฯ เร่งศึกษายีนมนุษย์มีความไวต่อสารก่อมะเร็งอย่างไร เชื่อบางคนมียีนกำจัดได้ ชี้เหมือนคนสูบบุหรี่ทั้งชีวิตแต่ไม่เป็นมะเร็ง ย้ำยังคงต้องระวังอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า หมูปิ้ง หมูกระทะ ระบุทานได้แต่อย่าเยอะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า แม้โรคพยาธิใบไม้ตับจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตับและโรคมะเร็งท่อน้ำดี แต่ตัวการที่สำคัญคือ สารก่อมะเร็งที่อยู่ในอาหารหรือที่เรียกว่าสารดินประสิว (สารไนโตรซามีน) เพราะการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า เมื่อหนูมีการติดพยาธิใบไม้แล้วโอกาสการเป็นมะเร็งมีน้อย แต่หากได้รับสารก่อมะเร็งร่วมด้วยหนูจะเป็นมะเร็งทันที ดังนั้น การรับประทานอาหารนอกจากจะต้องระวังเรื่องพยาธิใบไม้ ซึ่งอยู่ในปลาน้ำจืดดิบแล้ว ยังต้องระวังอาหารที่ใส่สารดินประสิวด้วย เช่น ไส้กรอกอีสาน กุนเชียง ปลาร้า เป็นต้น

“หากจะรับประทานปลาร้าต้องทำให้สุกก่อน เพราะพยาธิสามารถอยู่ในตัวปลาร้าได้นานถึง 6 เดือน แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนแล้วกลับสามารถอยู่ได้นานเป็นปี บางคนอาจคิดว่ารับประทานเข้าไปครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ปลาบางตัวมีไข่พยาธิเป็นหมื่นๆ ฟอง เมื่อมันเข้าไปก็จะสร้างลูกหลานออกมา ผ่านไป 30-40 ปี ตัวมันก็ใหญ่และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพราะแม้จะรับประทานน้อยก็ยังถือว่ามีความเสี่ยง” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับสารก่อมะเร็งมีโอกาสก่อให้เกิดเป็นมะเร็งได้มากน้อยเพียงใด ต้องดูที่ปริมาณและความถี่ในการทาน คือต้องทานบ่อยและปริมาณมาก แต่ไม่ใช่ทานทีเดียวแล้วจะเป็น เพราะร่างกายจะสามารถขับสารก่อมะเร็งออกมาได้ แต่ถ้าทานบ่อยๆ ก็จะเข้าไปสะสมเรื่อยๆ โดยเฉพาะทุกวันนี้ในชีวิตประจำวันเรามีสารก่อมะเร็งเยอะ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าจำเป็นก็อย่าทานบ่อย เหมือนบุหรี่ที่สูบเข้าไปครั้งเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้าสูบเข้าไปนานๆ ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง

“อย่างหมูปิ้ง หมูกระทะ ก็จะมีสารก่อมะเร็งจากการที่ไขมันหรือโปรตีนของเนื้อถูกเผาไหม้ หรือที่เรียกว่าสารเฮเทอโรไซคลิก ดังนั้น ข่าวที่ว่ามีถ่านชนิดใหม่ปลอดมะเร็ง เพราะไม่มีควันแสดงว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะสารก่อมะเร็งเกิดจากความร้อน นอกจากการปิ้งย่างแล้ว การรมควันก็ถือว่าไม่ดี เพราะมีสารก่อมะเร็งอยู่เช่นกัน หากจะรับประทานอาหารที่ปรุงจากการรมควันก็ไม่ควรทานบ่อยหรือเยอะ อย่างต่างประเทศตอนนี้ก็มีการรณรงค์อยู่” นพ.ธีรวุฒิ กล่าว

นพ.ธีรวุฒิ กล่าวด้วยว่า โรคมะเร็งนั้นไม่ได้มีแต่ปัจจัยเฉพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับยีนส์ของแต่ละคนด้วย เพราะทุกวันนี้เราไม่รู้ว่ายีนส์ของแต่ละคนมีความไวต่อสารก่อมะเร็งเป็นอย่างไร บางคนอาจมียีนที่กำจัดสารก่อมะเร็งได้ เหมือนคนที่สูบบุหรี่จนแก่ทำไมถึงไม่เป็นมะเร็ง แต่คนที่สูบไม่นานกลับเป็นมะเร็ง ซึ่งตอนนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติกำลังมีการศึกษาในเรื่องนี้อยู่ร่วมกับญี่ปุ่น สถาบนวิจัยจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา

“ในอนาคตเราอาจรู้ได้ว่าคนไหนมียีนที่มีความไวต่อมะเร็ง เพราะทุกวันนี้ทุกคนได้รับสารก่อมะเร็งกันหมด แต่บางคนอาจมียีนที่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งได้ ลักษณะเหมือนกับการแพ้ยา ทำไมบางคนแพ้ บางคนไม่แพ้ ซึ่งตอนนี้ก็มีการศึกษาอยู่ เพื่อนำมาใช้เช็กยีนส์ว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะการสกรีนดังกล่าวมีราคาแพงมาก” ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าว

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000042463

“ไม่พอใจอะไรก็โพสต์” ค่านิยมใหม่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วิจัยพบการกระหน่ำโพสต์ระบายความรู้สึกด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือแสดงความกราดเกรี้ยวผ่านทางอินเทอร์เน็ตไม่ได้ช่วยให้จิตใจดีขึ้น แต่กลับทำให้จมอยู่กับปัญหา หรือความรู้สึกแย่ๆ นานมากขึ้นแทน

เป็นค่านิยมของสังคมยุคใหม่ไปเสียแล้ว กับการพบเจอเรื่องราวใดๆ ที่ไม่พอใจ ถูกแซงคิว รถถูกปาดหน้า ฯลฯ หรือถูกทำให้โกรธ ผิดหวัง ก็มาโพสต์ระบายอารมณ์กันบนโลกออนไลน์ ซึ่งหลายคนยอมรับว่าทำไปแล้วก็ได้รับความพอใจกลับมา บางครั้งอาจมีสะใจเล็กๆ เสียด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นหนทางแก้ไขปัญหาหรือเปล่า คำตอบคือ คงไม่ใช่ และอาจไม่ใช่หนทางที่จะทำให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้ แถมเป็นไปได้ด้วยว่า มันทำให้คุณจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นนานมากขึ้น

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากงานวิจัยเผยว่า การโพสต์ข้อความรุนแรง หรือข้อความเชิงลบผ่านทางโลกออนไลน์อาจทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ในระยะยาวแล้ว มีแนวโน้มว่าผู้โพสต์จะยังยึดติดอยู่กับความโกรธ หรือความทุกข์นั้นๆ อยู่

นอกจากนั้นยังพบว่า การอ่านข้อความที่โพสต์ด้วยความรู้สึกในแง่ลบของคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์ก็มีผลต่อจิตใจไม่แตกต่างจากการเป็นผู้โพสต์ข้อความในลักษณะนั้นๆ เช่นกัน

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ใน the journal Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking โดยศาสตราจารย์ไรอัน มาร์ติน ผู้เชี่ยวชาญในสาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ หัวหน้าคณะวิจัยได้กล่าวว่า “เราพบว่าเว็บไซต์ส่วนหนึ่งกระตุ้นให้คนเข้ามาใช้เป็นเครื่องระบายอารมณ์ และสนับสนุนให้ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับความโกรธ โดยพวกเขามองว่าการเข้ามาระบายความโกรธนั้นเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่”

โดยผู้เชี่ยวชาญท่านนี้เผยว่ามีวิธีที่ดีต่อสุขภาพ และให้ผลในเชิงบวกสำหรับจัดการกับความโกรธอยู่มากมาย แต่การเข้ามาระบายความรู้สึกในโลกออนไลน์ มีแต่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น และไม่ได้ทำให้จิตใจของคนๆ นั้น จดจ่ออยู่กับการแก้ปัญหา แต่ไปจดจ่ออยู่กับ “ปัญหา” มากกว่าจะลงมือแก้ไข

นอกจากนั้น การโพสต์ข้อความเชิงลบในอินเทอร์เน็ตยังแสดงให้เห็นถึงภาวะอ่อนแอทางจิตใจของมนุษย์อีกด้วย

“ในโลกนี้ มีผู้คนที่รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ปัญหาการแย่งที่ทำกิน ปัญหาในที่ทำงาน ปัญหาการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ผู้คนเหล่านั้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ชอบใจต่างก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และมองว่า การระบายความรู้สึก หรือการไปแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์จะสามารถช่วยได้ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า การโพสต์ข้อความแย่ๆ หรือโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผู้อื่นนั้นได้ทำร้ายคนรอบข้าง รวมถึงตัวพวกเขาด้วย เพราะเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวหากได้มาอ่านข้อความรุนแรง ก็จะเกิดความเจ็บปวดที่ได้รับรู้่ว่า คุณกำลังมีปัญหา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาต่อไปไม่รู้จบ ขณะที่คนที่ทำให้คุณรู้สึกโกรธนั้น ไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยเลย”

กระทั่งคนที่สร้างตัวตนใหม่ขึ้นมาในโลกออนไลน์ และหวังจะใช้ตัวตนที่คิดว่า ไม่มีใครรู้จักนี้ไปทำร้ายใครก็ได้ ศาสตราจารย์ไรอัน ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า มันไม่จริงเสมอไป เพราะในโลกออนไลน์ที่คุณคิดว่าไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้น สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างสามารถ “ตรวจสอบได้” อยู่ดี และหากมีการใช้ตัวตนเหล่านั้นเพื่อกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายก็ต้องเป็นผู้โพสต์ที่จะต้องรับผลของกรรมนั้น

ดังนั้น ก่อนโพสต์คิดให้ดี เพราะหากโพสต์ไปแล้ว คุณจะหนีจากมันไปไม่ได้จนวันตาย

เรียบเรียงจากเดลิเมล

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000036458

พอกหน้าให้ผิวขาว

สารพัดสูตรพอกหน้า สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
วิธีทําให้ผิวขาว
สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม

น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ
กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

http://women.kapook.com/view742.html

เคล็ดลับการดูแล“จุดซ่อนเร้น”

การดูแลทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น  คุณสาวๆ อย่ามองข้ามกันเลยทีเดียว เพราะถ้าล้างไม่สะอาด ดูแลไม่ถูกวิธี โรคไม่พึงประสงค์จะถามหาเอาได้นะค่ะ  จึงมีเคล็ดลับในการดูแล ทำความสะอาดมาฝากกัน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ทำความสะอาดทุกวัน เช้าและเย็นด้วยน้ำและสบู่  แล้วซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวที่สะอาด และอ่อนนุ่ม ไม่ควรเช็ดถูแรงๆ เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้ละเอียดอ่อนมาก

บริเวณซอกหลืบ และรอยพับของแคมนอก ถ้ามีคราบไคลหมักหมม ก็ให้ล้างด้วยน้ำอุ่นๆ หรือจะใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ด หากจะใช้น้ำยาอนามัยควรเลือกที่มีความเป็นกรดด่างใกล้เคียงกับผิวหนัง คือประมาณ 5.5

ไม่สวนล้างช่องคลอด ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและสารเคมีในน้ำยาจะไปทำลายแบคทีเรีย “แลคโตแบซิลลัส”  ซึ่งช่วยปรับสภาพในช่องคลอดให้เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายไม่สามารถเจริญเติบโตได้  และช่องคลอดจะมีการทำความสะอาดภายในตัวเองอยู่แล้ว โดยขับออกมาเป็นตกขาว ซึ่งมีน้อยมากต่างกันไป

ขนอ่อนๆ ภายนอกนั้น ธรรมชาติมีไว้เพื่อความสวยงามและป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกมา จึงไม่ควรถอนโกน หรือย้อมสี เพียงแค่เล็มตัดแต่งก็พอแล้ว

ช่วงเวลาที่มีประจำเดือน ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดควรเลือกที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน  และไม่ควรเก็บผ้าอนามัยในที่อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นเชื้อราได้ง่าย และการใช้ผ้าอนามัยแผ่นเล็กๆ  ทุกวัน จะทำให้อับชื้นและติดเชื้อได้

กางเกงในควรมีเนื้อผ้าบางเบา เพื่อช่วยลดความอับชื้นของอวัยวะเพศ ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป และซักตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อรา และไม่ควรใช้กางเกงในร่วมกับคนอื่น

ทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ควรใช้น้ำล้างให้สะอาดแล้วใช้กระดาษชำระซับให้แห้ง โดยเช็ดจากอวัยวะเพศไปทวารหนัก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักติดต่อมายังช่องคลอด

ควรรู้จักสังเกตความผิดปกติต่างๆ บริเวณอวัยวะเพศ เช่น คันในช่องคลอด ตกขาวมากจนผิดสังเกต อวัยวะเพศมีกลิ่นเหม็นมาก ตกขาวมีสีผิดไปจากเดิม หรือเวลาปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บเหมือนปัสสาวะไม่สุด ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

เรื่องโดย : จารุทรรศน์ สิทธิสมบูรณ์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก talkaboutsex.thaihealth.co.th

http://sex.sanook.com/sex/womenhealthclub/44271.php

วิธีลดต้นขา

วิธีลดต้นขาง่ายๆ ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

สาวๆ ส่วนมาก มักจะกังวลกับช่วงล่างมากๆ เลยนะค่ะ นั่นก็ คือ ขาของเรานั่นเอง ผู้หญิงทุกคนถ้าเป็นไปได้อยากจะมีรูปร่างที่สวยงาม ขาเรียวสวยกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะค่ะ

วันนี้มีวิธีง่ายๆ ในการลดต้นขาให้ดูเรียวสวยมาฝากทุกคนค่ะ เรามาดูกันเลยค่ะว่าจะมีวิธีการลดตั้นขาของเรายังไงบ้าง

1.  เริ่มจากให้สาวๆ นอนราบลงกับพื้นค่ะ
2. ให้ไขว้ข้อเท้าทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
3. งอเขาทั้งสองเข้ามาให้ชิดกับลำตัวให้มากที่สุดเลยค่ะ โดยที่ข้อเข่าทั้งสองยังไขว้กันอยู่นะค่ะ
4. ค่อยๆ ยืดขาออก แล้วคลายเข่าและข้อเท้าทั้งสองข้างออกจากกันช้าๆ กลับสู่ท่าเริ่มต้นอีกครั้งค่ะ

เสร็จแล้วค่ะ เห็นไหมค่ะ 4 ขั้นตอนง่ายๆ เองค่ะ แต่สาวๆ ต้องฝึกฝนเป็นประจำนะค่ะอย่างน้อย 24 – 30 ครั้ง/วันค่ะ เพื่อที่จะทำให้ต้นขาของเราดูเรียวสวยงามอย่างที่ผู้หญิงอย่างเราๆ จะได้นุ่งกางเกงขาสั้น อวดเรียวขาสวยๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ

http://www.pink.in.th/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99/2/

น้ำผลไม้ช่วยคลายร้อน

ในช่วงนี้อากาศเมืองไทยร้อนมากๆ ร้อนสุดๆ ขนาดนี้ เรามาหาอะไรคลายร้อนกันดีกว่า แล้วอะไรที่ว่านั้นก็คือ น้ำผลไม้เย็นๆ  นั่นเองค่ะ   อีกทั้งสรรพคุณของน้ำผลไม้ดังต่อไปนี้ยังดีต่อผิวพรรณ  และสุขภาพอีกด้วย

น้ำส้มคั้น

น้ำส้มคั้น
น้ำส้มคั้น

– การดื่มน้ำส้มจะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดี สดใส อีกทั้งเมื่อรับประทานส้มทุกๆ วันจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น ช่วยให้ผิวพรรณของคุณผุดผ่อง เพราะส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง เพราะ ในส้มมีไบโอเฟลโวนอยด์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำแตงโม
น้ำแตงโม

น้ำแตงโม

– น้ำแตงโมมีฤทธิ์เย็น อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมน้ำแตงโมได้เร็วมาก จึงช่วยให้ร่างกายของคุณรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว อีกทั้งแตงโมยังเต็มไปด้วยวิตามินต่างๆ คือ วิตามินซี และวิตามินบีรวม ทำให้เมื่อรับประทานน้ำแตงโมบ่อยๆ จะสามารถช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก ช่วยให้ผิวพรรณดี อีกทั้งยังช่วยล้างพิษอีกด้วย

น้ำกระเจี๊ยบน้ำกระเจี๊ยบ

– น้ำกระเจี๊ยบเมื่อรับประทานแล้วจะช่วยให้รู้สึกกระปรี่กระเปร่า สดชื่นสดใส เพราะ รสชาติน้ำกระเจี๊ยบจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ นอกจากการช่วยคลายร้อนแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังสามารถช่วยลดไขมันในเลือด ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยบรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ

น้ำสับปะรด

น้ำสับปะรด
น้ำสับปะรด

– น้ำสับปะรดนอกจากจะช่วยในการคลายร้อนแล้ว ยังมีประโยชน์ทางด้านสุขภาพ คือ ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม ไม่หลุดร่วง และเล็บแข็งแรง ไม่เปราะหัก หรือฉีกขาดง่าย

รู้แบบนี้แล้วลองหาน้ำผลไม้ที่คุณชอบดื่มคลายร้อนกันนะค่ะ

http://instapuper.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/

ความสำเร็จในการจำหน่ายเฟอร์บี้ (itinlife391)

furby
furby

เฟอร์บี้ (Furby) คือ ของเล่นไฮเทคประเภทตุ๊กตาใส่ถ่ายที่สามารถโต้ตอบกับเจ้าของได้ในหลายรูปแบบ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารสมาร์ทโฟน หลายคนบอกว่าเหมือนสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิต เพราะเสมือนป้อนอาหารได้ เรียนรู้ภาษาได้ และมีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อสัมผัส ซึ่งเฟอร์บี้เคยประสบความสำเร็จในการทำตลาดราวปี 1998 มียอดขายกว่า 40 ล้านตัวใน 3 ปี แล้วในปี 2012 ก็กลับมาประสบความสำเร็จผ่าน social media อีกครั้ง เราพบเฟอร์บี้ได้ใน facebook, twitter, instagram, youtube, pinterest หรือ tumblr เพราะกระแสคลั่งไคล้ดารา ทำให้เกิดการเอาเยี่ยงอย่าง เมื่อมีดาราถ่ายรูปกับเฟอร์บี้แล้วส่งรูปเข้าเครือข่ายสังคมก็ทำให้ความนิยมต่อเฟอร์บี้ก้าวกระโดดในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว

ตามหลักของอุปสงค์และอุปทานที่ความต้องการมาก แต่สินค้ามีจำกัดย่อมทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ดังนั้นเฟอร์บี้ที่เคยมีราคา 4,000 บาท จึงมีราคาพุ่งไปถึง 6,000 บาท เมื่อได้มาแล้วก็ต้องนำมาถ่ายรูปแล้วอัพโหลดเข้าเครือข่ายสังคมว่ามีตุ๊กตาใส่ถ่านตัวนี้ไว้ในครอบครองแล้ว เป็นผลให้ผู้ที่พบเห็นกดไลค์ และพยายามหามาไว้ในครอบครองตามกันไป เป็นแฟชั่นที่มีอัตราการขยายตัวผ่านแรงหนุนจากเครือข่ายสังคมที่ชัดเจน ค่านิยมที่คล้ายกันเคยเกิดกับ Tamagotchi ในปี 1996 แต่ก็ยังไม่เท่าองค์จตุคามรามเทพที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ใหญ่ส่งผลให้นักเลงพระหลายคนกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามเดือน ในช่วงปี 2007 ที่ชาวบ้านยอมจ่ายเงินบูชาองค์จตุคามรามเทพคองค์ละหลายพันบาทมาแล้ว

ความนิยมเกิดจากความพึงพอใจที่ห้ามกันไม่ได้ เพราะคำว่าชอบเป็นการส่วนตัว เป็นคำตอบที่สำคัญกว่าเหตุผลใด เหมือนกระแสคลั่งไคล้ดาราที่มีคนยอมจ่ายเงินหลายพันบาทไปดูดาราไม่กี่ชั่วโมงปรากฎตัวบนเวที ก็ล้วนเกิดจากความชอบ และเชื่อว่าคุ้มค่ากับการจ่าย ตุ๊กตาเฟอร์บี้ก็เป็นอีกกระแสผลิตภัณฑ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และกำลังจะดับไป เหมือนกับกระแสผลิตภัณฑ์อื่นที่กล่าวไว้ และเชื่อได้ว่าจะมีกระแสใหม่เกิดขึ้นในอีกไม่ช้าในสังคมไทย เพราะเคยมีคนบอกว่าคนไทยเป็นฝ่ายรับที่ดีและเร็วอย่างน่าประหลาด ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม การแต่งกาย วัฒนธรรม และเทคโนโลยี จนนับวันนับจะหาอะไรที่เป็นไทยแท้ได้ยากขึ้นทุกวัน

http://en.wikipedia.org/wiki/Furby