อันดับการศึกษาของไทยในเวทีโลกยังไม่สุดท้ายซะทีเดียว .. 37 จาก 40

Education changing in thailand วาระแห่งชาติ เล่มที่ 1 การปฏิรูปการศึกษา : วาระแห่งชาติ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 สู่การปฏิบัติ ยุทธศาสตร์ที่จะพาประเทศพ้นวิกฤต .. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ [974-241-263-4]

พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม
http://www.sesa10.go.th/sesa10/data/mar55/2.pdf

http://www.scribd.com/doc/115003666

29 พ.ย.55 ฟินแลนด์และเกาหลีใต้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เป็นอันดับหนึ่งและสองตามลำดับ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากการจัดอันดับโดยบริษัทด้านการศึกษาชื่อดังจากสหรัฐฯ “เพียร์สัน

thailand 37 from 40
thailand 37 from 40

การจัดอันดับ ใช้การรวบรวมข้อมูลจากผลการสอบในระดับนานาชาติและข้อมูล เช่น อัตราการศึกษาในระหว่างปี 2006 และ 2010  เซอร์ไมเคิล บาร์เบอร์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านการศึกษาของเพียร์สัน เปิดเผยว่า ประเทศที่ติดในอันดับที่ดีส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับ ครูผู้สอน รวมถึงการมีวัฒนธรรมด้านการศึกษาที่ดี

ตามหลังฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในอันดับที่ 3-5 นั้น ล้วนมาจากเอเชียทั้งสิ้น ได้แก่ ฮ่องกง (จีน) อันดับ 3, ญี่ปุ่น อันดับ 4 และ สิงคโปร์ ในอันดับ 5 ขณะที่อันดับ 6 ตกเป็นของอังกฤษ ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์ ในอันดับที่ 7 และ นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดาในอันดับที่ 8-10 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ อย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และเยอรมนี อยู่ในอันดับรองลงไป

โดยในการจัดอันดับที่มีจำนวน 40 ประเทศนั้น อินโดนีเซีย บราซิล และเม็กซิโกมีคะแนนต่ำสุด ในอันดับที่ 40, 39 และ 38 ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 37

รายงานระบุว่า ความสำเร็จของประเทศในเอเชีย ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากประเทศดังกล่าวให้ความสำคัญกับการศึกษามากเป็นพิเศษ อีกทั้งผู้ปกครองต่างก็พร้อมจะทุ่มเทให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

แต่สิ่งที่สำคัญนอกจากการทุ่มเทให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่ดีนั้น สะท้อนให้เห็นค่านิยมที่ให้คุณค่าต่อการศึกษาในระดับสูง รวมถึงการคาดหวังของผู้ปกครอง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญแม้ครอบครัวจะย้ายไปยังประเทศอื่น

ขณะที่อันดับหนึ่งและสองอย่างฟินแลนด์และเกาหลีใต้ ค่อนข้างมีความแตกต่างกันหลายประการ แต่มีปัจจัยร่วมกัน คือ ความเชื่อทางสังคมที่ให้ความสำคัญต่อการศึกษาและจุดประสงค์ด้านศีลธรรมที่แอบแฝงอยู่

รายงานดังกล่าวยัง เน้นเรื่อง คุณภาพของครูผู้สอน และความจำเป็นต่อการจ้างครูที่ดีที่สุด ซึ่งอาจรวมถึงการได้รับความเคารพในทางวิชาชีพและสถานะทางสังคม เช่นเดียวกับรายได้ที่ได้รับ อย่างไรก็ดี การจัดอันดับไม่ได้แสดงจุดเชื่อมโยงที่แน่ชัดระหว่างรายได้สูงและการสอนที่มีคุณภาพ รายงานระบุว่า ระบบการศึกษาที่สูงและต่ำยังมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พึ่งพาแรงงานที่ใช้ทักษะ

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์
http://prachatai.com/journal/2012/11/43934
http://thelearningcurve.pearson.com/content/download/bankname/components/filename/FINAL%20LearningCurve_Final.pdf

http://www.breakingnewsenglish.com/1211/121129-education.html

5 บทเรียนสำหรับผู้กำหนดนโยบาย
(Five lessons for education policymakers)

1. การพัฒนาการศึกษาไม่ใช่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ แล้วจะสำเร็จ ต้องใช้เงินลงทุน เชื่อมโยง และต่อเนื่อง จึงจะได้ผล
2. ถ้าได้ครูดี ผลคือนักเรียนดี จึงต้องรักษาครู และพัฒนาให้เป็นครูมืออาชีพ ไม่ใช่มุ่งเพิ่มเทคนิค หรือเพิ่มเครื่องมือ
3. มีวัฒนธรรมเชิงลบบางเรื่องที่ต้องเปลี่ยน แล้วสนับสนุนวัฒนธรรมเชิงบวกที่มีผลต่อการศึกษา
4. พ่อแม่ต้องเข้าใจและร่วมกันพัฒนาการศึกษาของเด็ก
5. การศึกษาคือการเติมเต็มทักษะในปัจจุบัน เพื่อนำไปใช้ในอนาคต

http://thelearningcurve.pearson.com/the-report/executive-summary

การสัมมนาเชิงวิชาการผู้ปฏิบัติงานด้าน ICT ของ ศธ.
โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า ๒๐๐ คน เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๓ ณ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ.กล่าวว่า ศธ.มีนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง โดยเฉพาะการยกระดับเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาเป็นนโยบายหลักในการขับเคลื่อนคุณภาพทางการศึกษา และสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ นอกจากนี้ รมว.ศธ.ยังมีนโยบายด้านการศึกษา ๘ ข้อ ซึ่งมีจุดเน้น ๓ ด้าน ดังนี้
1. การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ซึ่งการดำเนินงาน ๖ เดือนที่ผ่านมา ศธ.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีการกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และวางระบบการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองอย่างชัดเจน และแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง ซึ่งได้นำเป้าหมาย ตัวชี้วัด มาดำเนินการ ขณะนี้มี Road Map แผนปฏิบัติการ และผู้รับผิดชอบการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
2. ครู ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ ศธ.ได้วางแผนพัฒนาครูทั้งระบบ โดยเริ่มจากการผลิตครู ซึ่ง กนป.ได้อนุมัติให้ผลิตครูพันธุ์ใหม่ ๓๐,๐๐๐ อัตรา ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ศธ.จะผลิตครูพันธุ์ใหม่ให้ได้ ๒๐๐,๐๐๐ คน การพัฒนาครูทั้งระบบ ซึ่ง สพฐ.ได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทำการทดสอบสมรรถนะครู อบรมหลักสูตรของครู และของผู้บริหาร เพื่อนำไปสู่การสร้างครูต้นแบบ Master Teacher และให้แรงจูงใจ ในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สำหรับการใช้ครูนั้น ศธ. ได้คืนครูให้กับโรงเรียน โดยจ้างพนักงานธุรการและตำแหน่งอื่น เช่น บรรณารักษ์ มาแทนครูเพิ่มขึ้น เพื่อให้ครูได้กลับสู่ห้องเรียน และ ศธ.ยังได้เพิ่มขวัญและกำลังใจครูด้วยการพัฒนาค่าตอบแทนครู ยกมาตรฐานวิชาชีพครู และแก้ไขหนี้สินครูทั้งระบบด้วย
3. ยกระดับการใช้ ICT เพื่อการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติตามเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา คือ เพิ่มสัดส่วนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ต่อประชากรอายุ ๖ ปีขึ้นไป ร้อยละ ๕๐ เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญ โดย ศธ.ได้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เรื่องพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการศึกษา และบรรจุการจัดตั้งกองทุนเทคโนโลยีทางการศึกษาไว้ในรายจ่ายงบประมาณประจำปี ๒๕๕๔ เพื่อให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ซึ่ง ครม.ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยกองทุนมีงบประมาณเริ่มต้น ๕ ล้านบาท และได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งคณะกรรมการกองทุน โดยมี รมว.ศธ.เป็นประธาน

รมว.ศธ.ได้ฝากให้ผู้ปฏิบัติงานด้าน ICT ขับเคลื่อนนโยบาย ๓ เรื่องให้เป็นรูปธรรม ดังนี้
1. ยกระดับพัฒนาโครงข่ายเทคโนโลยีทางการศึกษา Ned Net โดยทุกองค์กรหลักของ ศธ.ต้องให้ความร่วมมือภายใต้โครงข่ายเดียวกัน เพื่อให้เกิดพลังด้านงบประมาณ ด้านการใช้ และด้านบุคลากร ขณะนี้ ศธ.มีข้อมูลอยู่แล้ว หากสามารถรวบรวมได้อย่างเป็นระบบ โครงข่ายก็จะมีความเข้มแข็งเพียงพอต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
2. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ (Education Information System) จัดให้มีข้อมูลนักเรียน สถานศึกษาที่เป็นระบบและเป็นปัจจุบัน ขณะนี้ ศธ.มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมข้อมูลของโรงเรียนเอกชน และต้องการให้มีข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพที่ชัดเจน เพื่อช่วยเหลือเด็กทุกคนไม่ว่าอยู่ในสถานะใด ให้ได้รับประโยชน์จากโครงการเรียนฟรี เพื่อไม่ให้มีการแอบอ้างว่า ข้อมูลผิดพลาด นักเรียนได้รับประโยชน์ไม่ทั่วถึง รวมทั้งการคำนวณตัวเลขไม่ชัดเจนทำให้การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ฝากให้ช่วยคิดว่าจะทำให้เกิดระบบศูนย์กลางสารสนเทศในระดับชาติได้อย่างไร เพราะข้อมูลสารสนเทศกับโครงข่ายจะต้องมีความสัมพันธ์กัน จึงจะสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
3. ยกระดับสถานีวิทยุโทรทัศน์ของ ศธ.ให้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง ขณะนี้ ศธ.มีศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ETV, มีรายการ Student Channel ออกอากาศทาง NBT, มีรายการ Teacher TV ที่จะขอออกอากาศทาง Thai TV หาก ศธ.สามารถรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เป็นฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาว่า ต้องมีการศึกษาอย่างมีคุณภาพตลอดชีวิต สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ จึงจำเป็นจะต้องยกระดับให้มีสถานีวิทยุโทรทัศน์ของ ศธ. ซึ่งถ้าเป็นไปได้ในอนาคตต้องการให้เป็น free TV ต่อไป และขอให้ทุกคนช่วยคิดว่า จะสามารถนำรายการที่มีอยู่มารวมกันได้อย่างไร เพื่อให้เกิดพลังความพร้อมทั้งด้านข้อมูลและเครื่องมือ นำไปสู่การยกระดับสถานีวิทยุโทรทัศน์ของ ศธ.อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

http://www.moe.go.th/websm/2010/sep/287.html
http://www.kroobannok.com/36672

thailand tutor for students
thailand tutor for students

About 10,000 students attend a tutorial at a shopping mall in Bangkok in preparation for entrance exams to study medicine at an university. (Photo by Apichit Jinakul)

Thailand scores badly in education assessment ranking

Thailand’s education system is ranked 37th out of 40 countries assessed in latest global index ranking published by British education and publishing group Pearson Plc.

Finland took first place with a score of 1.26 points, followed by South Korea and Hong-Kong. Following them are two other Asian countries: Japan and Singapore.

Thailand scored badly, with 1.46, and had only three countries below it in the ranking.

The index ranking is based on cognitive skills – test scores in reading, writing, and mathematics – and educational attainment – literacy and graduation rate – accumulated from 40 developed countries.

Sir Michael Barber, Pearson’s chief education adviser, said successful countries gave their educators a high status and have a culture that is supportive of education.

Thai netizens posted messages on various webboards on Wednesday, mostly criticising the Thai education system.

“It’s because of the educators,” said a postor in posttoday.com.

“I feel that education does not account to how successful you are in the real world,” said a comment in pantip.com. “These highly educated people have the knowledge but can’t perform.”

Another netizen suggested that Thailand should improve the social belief in education, spend more money to improve the quality of teachers and school autonomy to climb up the ranking.

“The quality of some private universities is really worrying. The quality of graduates with a bachelor’s degree here is lower than high school graduates in other countries,” one netizen said. “If you pay all the tuition fees here, you’ll definitely graduate.”

http://www.bangkokpost.com/news/local/323571/thailand-almost-lowest-in-global-education-ranking

สถาบันการศึกษามองพฤติกรรมผู้สมัครเรียนจากเฟซบุ๊ค

ranking
ranking

ประเด็นที่สนใจเพิ่มเติม
1. บทความนี้ฉายภาพได้ชัดว่าคุณภาพของสถาบันขึ้นกับคุณภาพนักเรียนที่เข้ามา
2. ทำไมนักเรียนไม่เปิดเผย fb ที่มี profile ที่ดี แต่กลับปกติ profile ที่ไม่ดี
3. บางคนคิดว่ากฎใหม่นี้ไม่ยุติธรรม
4. The Internet is written in ink, not in pencil
+ http://nation.time.com/2012/11/15/when-colleges-look-up-applicants-on-facebook-the-unspoken-new-admissions-test/

When Colleges Look Up Applicants on Facebook:
The Unspoken New Admissions Test
สถาบันการศึกษามองพฤติกรรมผู้สมัครเรียนจากเฟซบุ๊ค

บทความนี้ จาก http://nation.time.com/category/education/

Judging by its Facebook network, Hastings (ฉับไว) High School in New York has one strange senior class.

A student named “FunkMaster Floikes” is somehow rubbing shoulders with Lizzie McGuire and the fictional parents from That ‘70s Show.

Meanwhile Samwise Gams (a nickname of a hobbit in Lord of the Rings) is listed as a 2012 alum.

At first glance, such social media profiles have all the makings of crude online pranks.

But in reality, they have been strategically created by actual Hastings seniors determined to shield themselves from the prying eyes of college admissions officers.

“There’s a fairly big party scene there,” says Sam “Samwise” Bogan, who is now a freshman at Dickinson College in Pennsylvania.

“When the college search process comes around, people start changing their Facebook name or untagging old photos that they don’t want anyone to see.
It’s kind of a ritual.”

Amid decades-old worries about GPAs, resumes, extracurricular activities and campus interviews, today’s college applicants must reckon with a new high-tech dilemma: Are colleges judging me based on my online activities?

With top schools closely guarding the reasoning behind admissions decisions, many high schoolers are now assuming the worst and implementing online safeguards that would have never occurred to teenagers five years ago, when Facebook was just a private network and Google was still a noun.

It turns out students have good reason to worry.

According to a recent Kaplan Test Prep survey of 350 admissions officers, more than 25 percent of school officials said they had looked up applicants on Facebook or Google.

Off campus, a similar percentage of private scholarship organizations also acknowledge researching their applicants online, according to a National Scholarship Providers Association survey. Still, many admissions directors are reluctant to provide specifics in how they scour social feeds.

No, many say, they don’t look up every applicant online, but yes, if they somehow come across an inappropriate tweet or Facebook post, it could factor into their decision.

No, they’d never use it as the deciding factor between two similar applicants, but yes, students should be mindful of what they post.

Such ambiguity has sparked an array of conspiracy theories.
Bogan speculates that colleges use the emails they gather on campus tours to later find students online, even if they’ve changed their names to cover their tracks. Other students openly claim that schools are colluding with Facebook to gain full access to applicants’ restricted online profiles.
Meanwhile, some students worry that going dark on Facebook will make them seem anti-social,when colleges are actually looking for outgoing applicants.

Numerous students interviewed by TIME ultimately opted for a full social media lockdown, ahead of submitting their applications.

Abigail Swift, a senior at BASIS Scottsdale in Arizona, deleted her Facebook account at the start of her junior year, just as she was beginning her college search.

She says she plans to revive it in 2013, after being accepted to a university.

“I don’t want what I put on my Facebook or what I don’t put on my Facebook to sway their opinion of me,” she says. “I just don’t think it’s fair for them to base acceptance on that.”

Many of her classmates agree, and have already restricted privacy settings so that their names don’t appear in a public Facebook search.

One student went so far as to delete photos taken during 8th grade that didn’t reflect the image she is now trying to convey to schools.

As young as 16, some students are already making an effort to wipe the digital slate clean. Just in case.

Almost every student has heard a horror story.

At the start of the school year, a BASIS college counselor told her class of a student whose acceptance to an elite college was revoked when he was caught badmouthing the school on Facebook.

At Williams College, a student’s admission was rescinded because he posted disparaging remarks on a college discussion board.

At the University of Georgia, when an admissions officer discovered an applicant’s racially charged Twitter account, he took a screenshot and added the tweets to the student’s application file.

Though these are extreme examples, it’s difficult to pinpoint when a teenager’s social media habits shift from innocuous to alarming in the eyes of admissions officers. Anna Redmond, a 30-year-old former interviewer for Harvard University who blogs about college admissions, says she began regularly googling prospective students years ago (interviews with alumni are a minor component of Harvard’s admissions criteria).

“You could sometimes find old blog posts where they were complaining,” she says. “Maybe there was a photo of a kid drinking a beer. I don’t think it’s personally that damning, but somebody else might.”

With the Kaplan survey showing that only 15 percent of colleges abide by a strict social media policy when it comes to applicants,such vetting is often at the discretion of individual officials. College officials point out that time restraints would make it nearly impossible to analyze every applicant through social media. However, some admit to exploring applicants’ social media timelines to make a “high stakes” decision, like awarding a prestigious scholarship, says Nora Barnes, a marketing professor at the University of Massachusetts Dartmouth who has interviewed hundreds of schools about their social media practices. She says the actual number of schools doing online sleuthing could be higher than statistics show, with some wary of being viewed as invasive if they own up to the practice.

“It’s a touchy subject in academia,” Barnes says. “It’s common knowledge that employers do it, and people seem to accept that.  But somehow higher ed is held to a higher standard.”

Nancy McDuff, associate vice president for admissions and enrollment management at the University of Georgia, says an applicant’s online profile is fair game to be evaluated.

“If a student mentions something in their application that isn’t well explained, and you’re looking for more information, you may check their Facebook,” she says.

“They’re writing about themselves. That’s no different from what a guidance counselor may write about them when they ask for someone to write a letter of recommendation.”

But other admissions directors say including an inconsistent variable like Facebook profiles into the regimented application process can be unfair to students.

“We like to get the same information from every candidate,” says Christoph Guttentag, the dean of undergraduate admissions at Duke University.

“What one might find [on Facebook] would be close to random. There’s no guarantee that we would be getting the same kind of information between two applicants.”

For students who choose to change their Facebook names to ensure privacy, there can be consequences for violating the company’s official terms of use.

About eight percent of the network’s 1 billion accounts are fakes or duplicates, according to summer filings with the Securities and Exchange Commission. Facebook can ban such users permanently when caught, and the company encourages users to report fake accounts. Some colleges might also view such tactics as unethical: “If a student changes their name on Facebook because they want to hide something, you just wonder whether they want to be at an institution that values an Honor Code,” McDuff says.

Back at Hastings High School, students don’t view their actions as unethical.

“One way a lot of people in my class coped with the stressful college application process was by being a little bit cynical about it,” Bogan says.

“This is just a part of that. It’s kind of a coping mechanism.”

While some students rebel, others adapt. Among many high schoolers, there is a grudging acceptance that these are the new rules of engagement in the 21st-century admissions game.

“Maybe it is a little unfair, but at the same time you’re being judged on what you have created for yourself in the past four years of your high school experience,” says Maxton Thoman, a freshman at the University of Alabama.

“All that stuff is cumulative, and so is Facebook.” Thoman, who boosted his privacy settings and untagged photos of himself during the college admissions process, continues to keep a close eye on his digital profile at college.

He knows that medical schools and later employers may one day be interested in what he’s posted online, so he considers his status updates before spouting off.

He and many of his peers, rejecting the culture of oversharing, seem to understand intuitively a fact that has taken some adults years to grasp: “The Internet is written in ink, not in pencil.”

รวมแหล่งเพลง เหนือฟ้าคือฟ้า

เหนือฟ้าคือฟ้า
เหนือฟ้าคือฟ้า

รวมแหล่งเพลง “เหนือฟ้าคือฟ้า
เพลงประจำมหาวิทยาลัยเนชั่น มิถุนายน 2555

เพลง “เหนือฟ้าคือฟ้า
เพลงประจำสถาบัน มหาวิทยาลัยเนชั่น
คำร้อง ทำนอง อ.สุพจ สุขกลัด

ฟ้าสดใส  โลกสวยงาม
ฝันยังทอประกายฉายส่อง
ด้วยพลังเปี่ยมหวังเรืองรอง
เราถักทอสัมพันธ์ร่วมใจ

แม้เขตฟ้า จะสูงชัน
เราผู้กล้าฝ่าฟันไม่หวั่นไหว
ที่เหนือฟ้าเราคือฟ้า มีสัญญายิ่งใหญ่
คือร้อยดวงใจแล้วไปด้วยกัน

ด้วยศรัทธา สร้างปัญญาก้าวไกล มหาวิทยาลัยเนชั่น
กายต่างกายแต่ดวงใจเดียวกัน รักในการสร้างสรรค์สุดใจ

ฟ้ากว้างไกลสุดสายตา  โอบล้อมให้เราชาวฟ้ามั่นใจ
ก้าวสู่ฝัน สู่คืนวัน ชีวิตอันสดใส
มหาวิทยาลัยเนชั่น




http://www.youtube.com/watch?v=np-XRxCvQJI

http://soundcloud.com/thaiall/9gakdv08gfbk

http://soundcloud.com/thaiall/midi

http://www.4shared.com/mp3/ofX_Yjj0/ntu_song_2555_midi.html

http://www.4shared.com/mp3/dZHqjy9z/ntu_song_2555.html

http://thaiabc.com/lampangnet/admin/435/

ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส

ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส
ถูกไล่ออกเพราะไม่คิดก่อนโพส
สมัยผมเป็นเด็ก ได้ยินคำพูดว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” เป็นคติพจน์ที่น่าสนใจ ผมจึงคัดลอกบันทึกเรื่องหนึ่งจาก โครงการรณรงค์คิดก่อนโพส (Think-before-you-post Campaign) มาเผยแพร่ต่อ ดังนี้
หญิง: OMG (Oh My God) ฉันเกลียดงานตัวเอง! เจ้านายฉันเป็นพวกน่ารำคาญ จุกจิก ชอบสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ชอบกวนโมโห น่ารังเกียจ Wanker!
(ปล. คำว่า wanker เป็นคำด่าแสลง หยาบคายพอสมควร สามารถเอาไว้ใช้เรียกพวกจิตวิปริต ที่ชอบแก้ผ้าสำเร็จความใคร่ในที่สาธารณะได้ สามารถใช้หมายถึงคนที่น่ารังเกียจได้)
ชาย: สวัสดี ญ. เธอคงลืมไปแล้วมั้งว่าเธอ add ฉันไว้ใน Facebook
ประเด็นแรกสุด ฉันขอบอกเลยนะที่รัก ว่าอย่าหลงตัวเองให้มาก
ประเด็นที่สอง เธอทำงานมาได้ 5 เดือน เธอไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นเกย์ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ลอยไปลอยมาเป็น Queen แต่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร เธอน่าจะดูออก
ประเด็นที่สาม ไอ้ที่เธอบอกว่าถูกสั่งให้ “ทำโน่นทำนี่” น่ะ คนทั่วไปเขาเรียกกันว่า “ทำงาน” เขาจ้างเธอมาทำงาน แต่ก็เอาเหอะ ฉันเข้าใจดี เพราะขนาดงานง่ายๆ เธอยังทำไม่ได้เลย ประสาอะไรกับงานอื่นๆ
ประเด็นสุดท้าย เธอคงลืมไปว่ายังเหลืออีก 2 สัปดาห์ถึงจะหมดระยะเวลาพ้นโปร 6 เดือน ก็เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ เดี๋ยวฉันจะเขียนใบประเมินทิ้งไว้ในตู้เอกสารของเธอ แล้วก็มาเก็บของกลับบ้านไปด้วย
“ฉันไม่ได้พูดเล่น”
ปล. ขอขอบคุณ http://www.passiveaggressivenotes.com/ สำหรับรูปภาพและข้อมูล

ค่าของเวลาของเราไม่เท่ากัน

time
time
มีนักศึกษาถามว่า เปิดเรียนวันไหน
ผมก็เข้าไปดูที่ http://it.nation.ac.th/std
ที่โฮมเพจสำหรับนักศึกษา พบปฏิทินการศึกษา และตารางเรียน และข้อมูลอื่น ๆ อีกเพียบ หากนึกถึงเรื่องเวลา ก็พบว่า มหาวิทยาลัยเนชั่นมีอีเมลที่ใช้บริการจาก gmail.com ภายใต้โดเมน @nation.ac.th ของนักศึกษาก็จะเป็น @std.nation.ac.th และมีระบบ google calendar ให้ใช้
บริการระบบ google calendar มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลา ทรัพยากรใดที่เรามีเหลือเฟือ ก็ไม่รู้สึกจำเป็นต้องจัดสรร เหมือนอากาศที่หายใจ ที่มีเหลือเฟือก็คงไม่ต้องนับว่าหายใจไปกี่ครั้งในหนึ่งนาที และได้เวลาหยุดหายใจ หรือเริ่มหายใจได้แล้ว (Lock-Out Movie 2012)
แต่อะไรที่มีจำกัดก็ต้องมีการจัดสรร เหมือนกับเวลา ท่านที่มีเวลาไม่พอ ทำอะไรก็รัดตัวไปหมด จำเป็นต้องมีปฏิทิน หรือตารางนัดหมายเข้ามาช่วย ซึ่งระบบ google calendar ช่วยได้มาก แต่ท่านใดมีเวลาเหลือเฟือ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบ เพราะมีเวลามากพอ ทำให้รู้สึกไปว่า “ค่าของเวลาของเราไม่เท่ากัน
ปฏิทินการศึกษา ภาคเรียนที่ 2/2555
– เปิดเรียน 29 ตุลาคม 2555
– สอบกลางภาค 24 ธันวาคม 2555 – 4 มกราคม 2556
– วันสุดท้ายของการเรียนการสอน 15 กุมภาพันธ์ 2556
– สอบปลายภาค 18 กุมภาพันธ์ – 27 กุมภาพันธ์ 2556
– ประกาศผลการเรียน 15 มีนาคม 2556

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส


มีโอกาสไปโรงเรียนสอนพิเศษของครู alex เห็นนิตยสารดาราสาวสวยวางบนโต๊ะ ระหว่างรอ 5 นาที พลิกอ่านไปมาจนจบพอดี ก็เลยมาค้นจาก net เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ทำให้ทราบสาเหตุของการสอบตกของเด็กไทย โบราณว่า “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:06 น. ข่าวสดออนไลน์
น.พ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551–2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรม(อีคิว) ของเด็กไทย ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี  6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน เปรียบเทียบเมื่อปี 2544 พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง
ด้านกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น
“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์”  รศ.นพ.วิชัย กล่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE5qWXdOamcwTkE9PQ

http://picpost.mthai.com/view/17043

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส
เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส

SLiMS/Senayan 5 (Meranti)

install senayan
install senayan

12 ต.ค.55 ได้ทดสอบติดตั้งระบบจัดการห้องสมุดบนเว็บไซต์ โปรแกรมนี้ชื่อ SLiMS/Senayan 5 (Meranti) update 6 มีแหล่งเผยแพร่ที่ http://slims.web.id/web/ เป็น open source ที่พัฒนาโดยคนอินโดนีเซีย และมีคนไทยได้พัฒนาส่วนภาษาไทยให้กับเขา เราจึงมี option ภาษาไทย สำหรับการใช้งานระบบนี้

สรุปเฉพาะประเด็นที่สำคัญ เพราะการติดตั้งไม่ยาก
1. มี web server ตัวใดก็ได้
ที่ผมใช้คือโปรแกรมของ http://www.thaiabc.com
2. มี mysql server ที่มี phpmyadmin
ผมก็ใช้ของ thaiabc.com ซึ่งที่มี user:admin password:p
3. ใช้ phpmyadmin ไปสร้าง database ชื่อ senayandb
4. เข้าไปแก้ไขแฟ้ม sysconfig.inc.php
กำหนด user และ password ให้ตรงกับ mysql
5. หากติดตั้งเสร็จแล้ว ระบบเตรียมรหัส admin มาให้แล้ว
user: admin password: admin
6. ถ้าติดตั้งแล้วเขาเตือนว่า ให้ลบห้อง /install เพื่อความปลอดภัย
7. download script ของโปรแกรมแล้วคลาย zip ลงห้อง root
http://slims.web.id/download/slims5-meranti-update6.tar.gz
8. ภาพประกอบ 31 ภาพ
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.532269490120520.133480.506818005999002&type=1

บันทึกเดิมเรื่องนี้ เมื่อ 25 ก.พ.2555
http://www.thaiall.com/blog/burin/3955/

LiMS (Senayan Library Management System) is a free and open source Library Management System. It is build on free and open source technology like PHP and MySQL. SLiMS provides many features such as bibliography database, circulation, membership management and many more that will help “automating”  library tasks. This project was sponsored by Pusat Informasi dan Humas Kemdikbud and licensed under GPL v3.

เสนายัน (SENAYAN) คือ โปรแกรมห้องสมุดอัตโนมัติโอเพนซอร์ส  สัญชาติอินโดนีเซีย ได้รับรางวัล ICT Award  ของอินโดนีเซียเป็นเครื่องหมายรับประกันว่าถึงแม้จะเป็นของฟรี แต่ก็มีความสามารถสูง เขียนด้วยภาษา  PHP และใช้ฐานข้อมูล MySql  เช่นเดียวกับ OpenBiblio แต่โดยภาพรวมอาจจะมีความสามารถไม่ด้อยกว่า OpenBiblio และถูกพัฒนาให้ใช้ภาษาไทย โดย คุณประสิทธิ์ชัย  เลิศรัตนเคหกาล ซึ่งผู้พัฒนาภาษาไทยให้กับ OpenBiblio ต่อยอดจากต้นฉบับประเทศอินโดนีเซีย ให้ใช้งานภาษาไทย

คอร์ปอเรท ยูนิเวอร์ซิตี้ ทางออกการศึกษาไทย

ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

โดย กมลทิพย์ ใบเงิน

คนคุณภาพ” กำลังกลายเป็น “วิกฤติ” ในภาคการผลิตแทบทุกองค์กร รวมถึงภาคราชการ แน่นอนกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หนีไม่พ้นข้อครหาเหล่านี้ ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐรับผิดชอบการจัดการศึกษาภาพใหญ่ของประเทศถึงร้อยละ 90 นับเป็น “ตัวป้อนคน” เข้าสู่ภาคแรงงานทั้งรัฐและเอกชนมากที่สุด แต่ “ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นักคิด นักเขียน นักบริหารมือทองระดับมันสมองของไทย ชี้ทางออกของการศึกษาไทยที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
เผอิญเราเป็นเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่สัมผัสกับคนเยอะมาก ในหนึ่งวันเรามีลูกค้าเข้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น 8 ล้านคน ตกเดือนละ 20 ล้านคน บางคนไม่ซ้ำหน้า เราเลยสัมผัสกับคนเยอะของสังคมไทย ผมค่อนข้างจะใกล้ชิดกับการมองภาพรวมของสังคมไทย มองสังคมและมองประเทศไทย ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ผมห่วงสังคม ห่วงประเทศ ห่วงคุณภาพของเด็กไทย เราก็ห่วงของเราไปอย่างนี้มาตลอดคงไม่ได้แล้ว ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้สังคมไทยดีขึ้นในรุ่นลูกรุ่นหลานก่อศักดิ์ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในโลกอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้า พลังหนุ่มสาวจะกลายเป็นเจ้าของประเทศไทย แต่ถามว่าวันนี้ “ผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองเราได้เตรียมคนหนุ่มสาวให้พร้อมเพื่อจะมารับ “ไม้ผลัด” ในการดูแลบ้านเมืองจากรุ่นพ่อแม่กันหรือยัง
ด้วยสภาพความเป็นจริงการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ไม่สามารถฝากอนาคตประเทศเอาไว้ได้ ด้วยระบบการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา เต็มไปด้วยปัญหาด้าน “คุณภาพการศึกษา” ที่ด้อยลงทุกวัน ไม่ว่าจะวัดคุณภาพในรูปแบบใดก็ตาม ทั้งที่ในสถาบันการศึกษามีจำนวน “ศาสตราจารย์” และ “ดอกเตอร์”  มากกว่าในอดีต
“ปัจจุบันภาคธุรกิจบ่นคุณภาพปริญญาตรีไม่น่าพอใจ  ส่วนสถาบันอุดมศึกษาก็แก้ตัวว่าเมื่อรับขยะเข้ามาเรียน จบออกไปก็ยังเป็นขยะ ตรงนี้เป็นปัญหา แต่จะให้เรามาแก้การจัดการศึกษาตลอด 16 ปีนั้นคงไม่ไหว เอาแค่ 4 ปีที่ทุกวันนี้ ภาพรวมเด็กจบ ม.ปลายก็มาเดินเล่นในรั้วมหาวิทยาลัย เดินจากตึกโน้นไปตึกนี้ เพื่อเรียนสะสมหน่วยกิต ขณะเดียวกันก็ทำกิจกรรมแบบเด็กๆ ไปด้วย
ดังนั้นเวลา 4 ปีในสถาบันอุดมศึกษา เด็กของเราไม่ได้ถูกฝึกให้เรียนจบแล้วเพื่อมาทำงานได้  มีแต่เรียนๆ เล่นๆ จ่ายเงินครบก็จบแล้ว แต่จบมาแล้วตกงาน แม้จะมีสหกิจศึกษาซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เด็กได้ฝึกปฏิบัติแค่เทอมเดียวย่อมไม่เพียงพอ ต่อการเข้าสู่โลกของการทำงานจริงเมื่อสำเร็จการศึกษา”
ก่อศักดิ์” ฟันธงว่าการจัดการศึกษาที่สูญเปล่าแบบนี้ ย่อมไม่เกิดผลดีต่อเด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครอง และประเทศชาติอย่างแน่นอนในอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการ “อาสา” รับใช้บ้านเมืองด้วยการจัดตั้ง “สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (Panyapiwat Institute of Management) หรือ PIM เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนทุนในการจัดตั้งจาก “บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)” นับเป็นสถาบันอุดมศึกษาแรกๆ ในประเทศไทยที่เป็น Corporate University หรือสถาบันการศึกษาที่เชื่อมโยงกับธุรกิจ
“วันนี้เราได้เปิดหลายสาขาวิชาแล้ว ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างคนเพื่อเรา เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ไม่จำเป็นต้องทำงานที่เราอย่างเดียว ไปทำที่ไหนก็ได้ สาขาการจัดการอาคารและทรัพยากรกายภาพ (Building and Facilities Management) จบแล้วก็สามารถไปทำงานในวงการอสังหาริมทรัพย์ ดูแลอาคารสูง และต้องไปฝึกงานกับสถานประกอบการจริง และถูกจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอยู่ อย่างนี้ก็ไม่ได้ผลิตเพื่อเรา และที่เพิ่งเปิดตัวไปคือ Luxury Product Management ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้มีสินค้าลักชัวรี่เลย คนที่จบมาเราก็ให้วงการลักชัวรี่ไป สาขาภาษาจีนธุรกิจก็ได้ไปฝึกงานกับองค์กรจีน เช่น ทีซีแอล, คิงเพาเวอร์, พารากอน ซึ่งสามารถได้เรียนและฝึกภาษากับเจ้าของภาษาหลายสำเนียง ไม่ได้เรียนรู้จากซาวนด์แล็บเพียงอย่างเดียว ที่น่ายินดีปีนี้เด็กมาสมัครเข้าเรียนจำนวนถึง 2,300 คน แต่เรารับได้เพียง 1,900 คน”
ก้าวย่างที่สำคัญของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ “ก่อศักดิ์”  กล่าวว่า พีไอเอ็มมีโครงการจัดตั้ง “คณะนวัตกรรมการจัดการเกษตร” (Innovative Agricultural Management) เป็นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) จะมีพิธีลงนามความร่วมมือในวันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2555 โดยจะร่วมมือกันพัฒนาวิชาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งหมด ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อพี่น้องเกษตรกรไทยโดยเฉพาะชาวนา
“อาจจะเกิดการรวมพื้นที่ทำนาข้าวจากคนในชุมชน ชุมชนละ 20 ไร่ รวมเป็น 2,000 ไร่ นำระบบการบริหารจัดการ เทคนิคพิเศษต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันก็ลดจำนวนชาวนาลงเพื่อยกระดับให้มาทำอาชีพอย่างอื่น อย่างจีนพลเมืองที่ทำนามีร้อยละ 60 ขณะที่สหรัฐอเมริกามีร้อยละ 6 ของประชากรในประเทศ แต่ปัจจุบันชาวนาสหรัฐอเมริกาลดเหลือเพียงร้อยละ 1 แต่สามารถทำนาเลี้ยงคนทั้งประเทศได้”
โครงการจัดตั้ง “คณะนวัตกรรมการจัดการเกษตร” เริ่มจากการที่พีไอเอ็มส่งนักศึกษาไปเรียนร่วมกับนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในบางรายวิชา  ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญสูง รวมถึงการใช้ห้องปฏิบัติการด้วย ส่วนวิชาที่เกี่ยวกับศาสตร์การบริหารจัดการ ทางพีไอเอ็มจะเป็นผู้สอนเอง ในอนาคตมีโครงการขยายกรอบความร่วมมือไปถึงขั้นการร่างหลักสูตรใหม่ร่วมกัน รวมถึงการให้ปริญญาร่วม 2 สถาบัน (Double Degree) คุณลักษณะของบัณฑิตที่จบจากพีไอเอ็มจะเป็นคน “เรียนเป็น คิดเป็น ทำงานเป็น เข้าใจวัฒนธรรม รักความถูกต้อง”
“ผมเชื่อมั่นว่าการจัดการศึกษาแบบ คอร์ปอเรท ยูนิเวอร์ซิตี้ (Corporate University) จะเป็นทางออกของการศึกษาไทย และผมอยากเชิญชวนให้ภาคธุรกิจเครือข่ายใหญ่ของไทย 30-40 บริษัทมาช่วยกันเปิดมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง เรียนจริงปฏิบัติจริง จบแล้วมีสัดส่วนของการได้ทำงานจริง เพราะการให้ทุนการศึกษาจำนวน 1 หมื่นทุน แม้ช่วยการศึกษาชาติได้ก็จริง แต่ไม่ใช่การช่วยจัดการศึกษาชาติได้แบบยั่งยืนครับ”
“ก่อศักดิ์” กล่าวอีกว่า อุปสรรคสำคัญอีกอย่างหนึ่งของคนไทยในการจัดการศึกษา มาจากค่านิยมของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่คลั่งใบปริญญา ไม่คำนึงถึงการเรียนจบแล้วทำงานได้จริง แตกต่างจากประเทศเยอรมนีที่ถือการทำงาน หรือความสำเร็จในการทำงานเป็นหลัก ใบปริญญาเป็นรอง คอร์ปอเรท ยูนิเวอร์ซิตี้ คือทางออกของการศึกษาไทยอย่างที่ซีพีทำอยู่แล้ว เราอยากให้เครืออื่นทำตาม แม้ปัจจุบันมีสหกิจศึกษาซึ่งเป็นความคิดที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอต่อการฝึกงานเพียงแค่เทอมเดียว

http://www.komchadluek.net/detail/20120926/140877/ชูคอร์ปอเรทยูนิเวอร์ซิตี้.html
โดย…กมลทิพย์  ใบเงิน

คำสอนของขงจื้อ

คำสอนของขงจื้อ
คำสอนของขงจื้อ

20 ก.ย.55 มีผู้ใหญ่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง 2 รอบ มารอบหลัง จึงมีโอกาสค้นจากเน็ต และได้รายละเอียดมาชวนแลกเปลี่ยนดังนี้

คำสอนของขงจื๊อ (confucius) สะท้อนให้เห็นถึง อุดมคติของปัญญาชน เช่นเขาเอง
คือ คำสอนที่ว่าด้วย ความประพฤติของชาว “หยู” (ผู้ที่เชื่อในวิถีของวิญญูชน)
ซึ่งไม่ล้าสมัยเลย แม้มองจากมุมของคนในยุคปัจจุบัน ขงจื๊อกล่าวว่า ชาวหยูที่แท้
จะต้องแสวงหา ความรู้ สร้างเสริม คุณธรรม ความสามารถอย่างไม่เหนื่อยหน่ายท้อแท้
เขาจะต้องพยายามทำสิ่งที่ตนศึกษาเล่าเรียนมาให้ปรากฏเป็นจริง และพร้อมที่จะรับใช้บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส

ในเส้นทางการพัฒนาตัวเองตามทัศนะของขงจื๊อ

จำแนกคนออกเป็น 5 ระดับ คือ สามัญชน บัณฑิต ปราชญ์ วิญญูชน และอริยบุคคล โดยเรียงลำดับจากขั้นต่ำไปขั้นสูง

ระดับที่ 1 สามัญชน คือ บุคคลที่ไม่ค่อยเคารพปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่สามารถกล่าวเขียนวาจาที่สะท้อนความมีสติปัญญา ไม่เคยคิดที่จะคบนักปราชญ์ ชีวิตไม่มีเป้าหมาย รู้แต่เรื่องเฉพาะหน้า ไม่มีอุดมคติที่ลึกซึ้งกว้างไกล ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองในเชิงปณิธาน ชอบเปลี่ยนความคิดไปตามกระแส ที่เข้ามากระทบ และไม่ยืนหยัดในหลักการ
ระดับที่ 2 บัณฑิต คือ บุคคลที่แม้ไม่เข้าใจเหตุผลที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถบำเพ็ญคุณธรรมอย่างหมดจด แต่ก็มีความรู้และความเชื่อบางอย่าง ทำงานและประพฤติตัวตามหลักการบางอย่าง เพราะฉะนั้น ถึงระดับความรู้ความเข้าใจจะมีข้อจำกัดก็ยึดกุมความรู้ความเข้าใจได้ในระดับจำกัดนั้นอย่างแม่นยำ ถึงระดับความสามารถในการพูดจะมีข้อจำกัด ก็เข้าใจเหตุผลที่กำลังพูดอย่างแท้จริง ถึงระดับความสามารถในการสื่อด้วยความประพฤติจะมีจำกัด ก็ระมัดระวังความประพฤติของตัวเองเสมอ พวกเขาจึงสามารถเผชิญความจริงภายใต้ข้อจำกัดของตัวเอง
ระดับที่ 3 ปราชญ์ คือ บุคคลที่ประพฤติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรมมีวาจาเที่ยงแท้เป็นที่น่าเชื่อถือ มีความรู้และคุณธรรมมากพอที่จะเป็นแบบอย่างแก่ราษฎรทั่วแผ่นดินได้
ระดับที่ 4 วิญญูชน คือ บุคคลที่ศึกษาความรู้บ่มเพาะคุณธรรมอย่างทุ่มเท พูดจริงทำจริง ไม่บ่นโทษ ไม่นินทา ไม่พยาบาท มีคุณธรรมสูงส่ง แต่ไม่เย่อหยิ่งทะนงตน มีสติปัญญาเลิศล้ำ แต่กลับมีท่าทีอบอุ่น นอบน้อม จนดูคล้ายไร้สติปัญญา ทั้งที่แท้ที่จริงแล้วมีความสามารถอันลึกล้ำหาผู้ใดเสมอยาก
ระดับที่ 5 อริยบุคคล คือ บุคคลที่มีจิตใจสูงส่งน่าบูชาดุจฟ้าดิน แต่สามารถปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม มีสติปัญญาแจ่มจ้าดุจแสงแห่งสุริยันจันทรา สามารถหยั่งรู้รากเหง้าของสรรพสิ่ง ยามดำเนินมรรคธรรมจะประหนึ่งฟ้าดินหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตโดยไม่ลำเลิก และเหล่าราษฎรทั้งปวงก็หารู้ไม่ว่ารับบุญคุณท่านแล้ว คนทั่วไปจึงไม่ทราบว่า ท่านได้ทำอะไรบ้าง ไม่ทราบว่าท่านมีคุณธรรมสูงส่งเพียงใด ดุจเดียวกับที่ไม่เข้าใจความลับของฟ้าดิน

http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13083

31 นโยบายหลักด้านการศึกษา

ศ.ดร.สุชาติ  ธาดาธำรงเวช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงศึกษาธิการสู่การปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 9 – 10 สิงหาคม 2555 ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์  กรุงเทพมหานคร

ศ.ดร.สุชาติ  ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวให้นโยบายถึงการทำงานในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งได้ประสบผลสำเร็จและมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ  โดยได้ขับเคลื่อนการทำงานตาม  “31 นโยบายหลักด้านการศึกษา” ๑) ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง  ๒) ปฏิรูปการศึกษารอบใหม่  ๓) ปรับเลื่อนวิทยฐานะโยกย้ายครูด้วยความเป็นธรรม  ๔) สอบ O-Net ป.๖ ม.๓ ม.๖ ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา  ๕) กระทรวงศึกษาธิการไทยใสสะอาด   ๖) ปฏิบัติธรรม นำการศึกษา   ๗) แท็บเล็ตพีซี เพื่อการศึกษา  ๘) เรียน ม.๖ จบได้ใน ๘ เดือน   ๙) กองทุนตั้งตัวได้   ๑๐) ๑ อำเภอ ๑ ทุน   ๑๑) สื่อสารภาษาอังกฤษได้ พร้อมเข้าสู่ประชาคม ASEAN  ๑๒) เรียนดีอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่อนุบาลจนจบ ม.๖  ๑๓) สร้างผู้นำอาเซียน ASEAN Leaders Scholarship  ๑๔) ทุนการศึกษาเพื่ออนาคต (กรอ.) Income Contingency Loan  ๑๕) ครูมืออาชีพ  ๑๖) ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix-it Center   ๑๗) การศึกษาดับไฟใต้   ๑๘) ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน OTOP Mini MBA   ๑๙) กระทรวงศึกษาไทย ปลอดภัย ไร้บุหรี่   ๒๐) ศูนย์กลางการศึกษานานาชาติ   ๒๑) อัจฉริยะสร้างได้   ๒๒) อินเทอร์เน็ตตำบลและหมู่บ้าน  ๒๓) คูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ   ๒๔) โรงเรียนในโรงงาน   ๒๕) อาชีวะไทย ก้าวไกล ใช้เทคโนโลยี   ๒๖) สร้างพลังครู  ๒๗) หลักสูตรคิดเป็น ทำเป็น   ๒๘) โรงเรียนร่วมพัฒนา   ๒๙) ศูนย์อบรมอาชีวศึกษา  ๓๐) ตั้งสถาบันอาชีวศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในการเรียนสายอาชีพ   ๓๑) เทียบโอนประสบการณ์สายอาชีพ จบ ปวช.ได้ใน ๘ เดือน

http://www.vec.go.th/portals/0/tabid/103/ArticleId/477/477.aspx

นอกจากนั้นยังได้เน้นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการอาชีวศึกษา อาทิ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix-it Center ,  ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน , โรงเรียนในโรงงาน , การตั้งสถาบันอาชีวศึกษาเพื่อความเป็นเลิศในการเรียนสายอาชีพ รวมทั้งนโยบายเทียบโอนประสบการณ์สายอาชีพ จบ ปวช.ได้ใน ๘ เดือนแล้ว ได้กล่าวถึงเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการที่จะดูแลลูกหลานของพี่น้องประชาชนเหมือนลูกหลานของเราเอง ซึ่งก็คือการ “ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง” โดยอธิบายว่าหากเป็นลูกของคุณ คุณจะทำอย่างไร คือให้มองเด็กๆ ให้เป็นลูกหลานของเรา ขณะเดียวกันครูอาจารย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารก็ควรมองให้เป็นเหมือนน้องชายน้องสาว  เพราะว่าผู้บริหารก็เหมือนครูรุ่นพี่ ซึ่งต้องมาช่วยเราสอนลูกของเราให้มีอนาคตมีการศึกษา

นายศักดา  คงเพชร  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า  ตนต้องการให้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  สร้างบุคลากรคุณภาพ  ครูและนักศึกษาต้องมีความรู้ความสามารถ  แต่มีความเป็นห่วงว่าเงินงบประมาณ ปี2556  ซึ่งได้น้อยลงจะทำให้การพัฒนาอาชีวศึกษาที่เข้มแข็งทั้งคุณภาพ และประมาณได้มากน้อยเพียงใด ฝากให้ส่วนกลางจัดทำฐานข้อมูลของสถานศึกษาให้ชัดเจนเพื่อช่วยให้การจัดสรรเงินงบประมาณมีความเป็นธรรม  และตรงกับความต้องการมากที่สุด

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประสานงานขอรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นของกลางที่ไม่สามารถใช้งานได้มาเป็นวัสดุฝึก  หรือนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อมาใช้ประโยชน์ การสนับสนุนให้ครูและนักเรียนมีรายได้โดยแปลงทักษะวิชาชีพให้เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมการแข่งขันในประชาคมอาเซียน  โดยเน้นให้เด็กสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ  และภาษาอาเซียน

โดย กลุ่มประชาสัมพันธ์ 10 สิงหาคม 2555